วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ข้าวโอ๊ต ธัญพืชลดความอ้วน


รำข้าวโอ๊ต (Oat bran)

ข้าวโอ๊ต ขอขอบคุณภาพประกอบจาก : wheatmontana.com

ข้าวโอ๊ต ( Oat ) เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูล Avena sativa ที่นิยมเพาะปลูกใน แถบยุโรปตอนเหนือ เนื่องจากเจริญเติบโตได้ดี ในเขตหนาว ชาวยุโรปนิยมรับประทานเป็นอาหารเช้า ข้าวโอ๊ต เป็นพืชที่ให้เมล็ดซึ่งมีคุณค่าทางอาหารมากมาย โดยเฉพาะจำพวกแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต

รำข้าวโอ๊ต ( Oat Bran ) เป็นเส้นใย Fiber ที่ได้จากการขัดสี ข้าวโอ๊ต ให้ขาว หรือ คือเส้นใยบางๆ ที่ห่อหุ้มเมล็ด ข้าวโอ๊ต นั่นเอง โดยเราพบว่า รำข้าวโอ๊ต จะให้เส้นใยอาหาร หรือ fiber 2 ชนิด คือ

1. เส้นใยชนิดที่ละลายน้ำได้( Soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 95-98% ของปริมาณ เส้นใยอาหารทั้งหมด ซึ่งเมื่อละลายน้ำแล้วจะทำให้เกิดสารละลายที่มีลักษณะเป็นเจล โดยเมื่อรับประทานเข้าไป ไฟเบอร์นี้จะละลายในสารอาหารก่อนที่ สารอาหารจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ดังนั้นเจลของไฟเบอร์จะเกาะติดกับสารอาหาร โดยเฉพาะไขมัน ทำให้ไขมันและสารอาหารอื่นๆ ไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และจะเอาอาหารขับออกทางอุจจาระ จึงทำให้ลดไขมันคลอเรสเตอรอลในเลือดได้

2. เส้นใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำ (Non-soluble Fiber) – ในอัตราส่วน 2-5 % ของ ปริมาณเส้นใยอาหารทั้งหมด โดยจะมีคุณสมบัติคล้ายฟองน้ำ โดยจะดูดซับน้ำใว้กับตัวเองทำให้พองตัว เมื่อรับประทานเข้าไปจึงจะส่งผลให้ จึงทำให้ ปริมาตรของสารที่ต้องการขับถ่ายเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้เร็วขึ้น ป้องกันและรักษาปัญหาท้องผูกได้

ดังนั้นประโยชน์ของการรับประทานอาหารที่ผลิตจาก รำข้าวโอ๊ต จึงนำมาใช้ในผู้ที่ต้องการลดน้ำตาลและไขมันในเลือด อาทิ ผู้ป่วยเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ และผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึง สารอาหารและวิตามินที่จำเป็นบางอย่างในอาหาร อาจ ถูกขับถ่ายออกไปด้วย

ขนาดที่รับประทานครั้งละ 1,000 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหาร 20-30 นาทีทั้ง 3 มื้อ และดื่มน้ำตามประมาณ 1-2 แก้ว ราคาที่ขายตาม ท้องตลาดหรือร้านขายยา ประมาณ 11-12 บาทต่อแคปซูล (1000 มิลลิกรัม) แพงเอาการอยู่เหมือนกันนะครับ

ข้าวโอ๊ตพบมากในประเทศแถบยุโรป เป็นไฟเบอร์ที่ช่วยลดการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย และรำข้าวโอ๊ตจะเกาะติดกับไขมันทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันไปได้น้อย อีกทั้งยังช่วยในการขับถ่าย ลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ไม่ทำให้ท้องผูก รำข้าวโอ๊ต บรรจุอยู่ในรูปของแคปซูลราคาค่อนข้างสูง

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : samunpai.com

ดอกคำฝอย สมุนไพรลดความอ้วน

ภาพดอกคำฝอย ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ thaigoodview.com

ดอกคำฝอย Safflower ,False Saffron , Saffron Thistle

ปัจจุบันนี้เครื่องดื่มประเภทสมุนไพร นับวันยิ่งเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เพราะจากที่นำมาเป็นเครื่องดื่มที่ปรุงรสให้ง่าย สะดวกแก่การดื่มแล้ว ยังมีคุณค่าทั้งเป็นยาขับระดู บำรุง ประสาท บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต และอีกมากมาย

ดอกคำฝอย มักจะนำมาทำเป็นชาที่เรารู้จักกันดีว่า ชาดอกคำฝอยมีคุณสมบัติช่วยลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด ขับเหงื่อและเป็นยาระบาย ช่วยในการขับถ่าย ปัจจุบันนำมาใช้ในการลดความอ้วนด้วยการชงดื่ม

ภาพดอกคำฝอย ขอขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ kku.ac.th

ดังนั้นเรามาเริ่มวิธีทำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ อย่าง น้ำดอกคำฝอย กันเถอะ โดยมีส่วนประกอบดังนี้

1. ดอกคำฝอย 1 กรัม
2. ต้มสุก 1 ถ้วย
3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ : เลือก ดอกคำฝอย ใหม่ ๆ จะมีสีแดงสด มีกลิ่นหอม ถ้าเป็นดอกที่เก่าเก็บจะมีสี แดงอมน้ำตาลกลิ่นไม่หอม ชงด้วยน้ำ เดือด ปิดฝาทิ้งไว้ 3-5 นาที กรองด้วย ผ้าขาวบาง จะได้ น้ำดอกคำฝอย สีเหลืองส้มเติมน้ำตาลทราย ดื่มเป็นครั้งคราว

ประโยชน์ : ดอก รสหวานร้อน เป็นยาขับระดู บำรุง ประสาท บำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต แก้ดีพิการ ขับเหงื่อ ใช้ระงับประสาท บำรุง โลหิต แก้ไขข้ออักเสบ แก้หวัดน้ำมูกไหล เกสร รสหวานร้อน บำรุงโลหิตระดูและแก้แสบร้อนตามผิวหนัง เมล็ด รส หวานเย็น เป็นยาถ่าย ขับเสมหะ แก้โรค ลมเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก น้ำมันจากเมล็ด รสร้อน แก้อัมพาต แก้ฝี แก้ขัดตามข้อและลดไขมันในเส้นเลือด

เครื่องดื่ม ดอกคำฝอย จึงเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพของคนที่รักสุขภาพดี ๆ ถ้าใครยังไม่เคยลิ้มลอง ก็ควรจะหาดื่มบ้าง เพราะ ดอกคำฝอย มีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย

คุณค่าด้านอาหาร

ใน เมล็ดดอกคำฝอย มีน้ำมันมาก สารใน ดอกคำฝอย พบว่าแก้อาการอักเสบ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อบางตัวได้ ในประเทศจีน ดอกคำฝอย เป็นยาเกี่ยวกับสตรี ตำรายาที่ใช้รักษาสตรีที่ประจำเดือนคั่งค้างไม่เป็นปกติ หรืออาการปวดบวม ฟกช้ำดำเขียว มักใช้ดอกคำฝอยด้วยเสมอ โดยต้มน้ำแช่เหล้า หรือใช้วิธีตำพอกแต่มีข้อระวังคือ หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน

ไม่ว่าคุณจะใช้ สมุนไพรตัวใดเพื่อลดน้ำหนักก็ตาม ควรจะปฏิบัติควบคู่ไปกับการกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ และออกกำลังกายสม่ำเสมอจะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดีขึ้น อย่าจดจ่อกับการใช้สมุนไพรอย่างเดียว เพราะการกินแค่สมุนไพรอาจจะทำให้คุณขาดสารอาหารและเสียชีวิตได้

8 สูตรรักษาสิวเสี้ยน

8 สูตรรักษาสิวเสี้ยน

1. พิชิตสิว ขจัดริ้วรอย เพิ่มความขาวด้วยมะนาว ผ่าซีกมะนาว 1 ผล คั้นน้ำ นำเปลือกที่เหลือจากการคั้นน้ำ มาชุบน้ำมะนาว ทาหน้า ทำจนหมดน้ำมะนาว ทิ้งไว้ 1 ชม.ครึ่ง จึงล้างออก ทำทุก 7 วัน

2. กำจัดสิวหัวดำ สิวเสี้ยน ถั่วเขียวต้มสุก 3 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกำมะถันผง 1 ช้อนชา และไข่ขาว 1 ฟอง ปั่นให้เนียน พอกหน้า นวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 30 นาที ทุก 5 วัน

3. ทำความสะอาดใบหน้า ลดจุดด่างดำ สิวเสี้ยน ถั่วเขียว 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศสุกผลใหญ่ 1 ผล (มะเขือเทศสีดา 2-3 ผล) น้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนชา ต้มถั่วเขียวแล้วปั่นผสมกับมะเขือเทศผสมน้ำผึ้ง พอกหน้า นวดเบา ๆ ทิ้งไว้ 20 นาที ทุก 5 วัน

4. ลดความมัน ลบฝ้า จุดด่างดำ สมานผิว กระชับรูขุมขน ปอกแตงกวา หรือแตงร้านอ่อน ๆ 1 ผล หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ปั่นพร้อมไข่ขาว 1 ฟอง บีบมะนาว 1 เสี้ยว ลงไป ปั่นให้เนียน พอกหน้า ทุก 5 วัน

5. ลดความมัน สิวเสี้ยน จุดด่างดำ ริ้วรอย สมานผิว กระชับรูขุมขน ตลอด 2 เดือนแรกควรทำทุก 10 วัน แอพริคอต 2 ผล น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นพร้อมกันให้ละเอียดเนียน พอกหน้า 20 นาที สองเดือนแรกควรทำทุก 10 วัน

6. ลดสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ ทำทุก 5 วัน ถั่วเขียว 2 ช้อนโต๊ะ สตรอเบอร์รี่ผลโต 2 ผล นมเปรี้ยว 2 ช้อนโต๊ะ ถั่วเขียวต้มสุกยีผสมกับสตรอเบอร์รี่และนมเปรี้ยว พอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ทุก 5 วัน

7. ลดฝ้าขจัดสิว ช่วยลดผิวหน้ามันด้วยไข่ขาว 2 ฟองไข่ขาวทาหน้าทิ้งไว้ 1-2 ชม. ทำทุก 2 วัน

8. ลบฝ้าด้วยแตงร้าน แตงร้าน 6 – 7 ผล ปั่น พอกหน้า 25 นาที ทำทุก 7 วัน

สมุนไพรรักษาสิว

สมุนไพร นอกจากจะมีสรรพคุณด้านการรัษาโรคแล้ว แต่ก็ยังมีสมุนไพรหลายชนิด ที่มีสรรพคุณด้านการรักษาโรคผิวหนัง อาการคัน แพ้ ผด ผื่น หรือแม้กระทั้ง สิว ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ใบหน้าของวัยรุ่น วัยที่กำลัวเจริญพันธุ์หมดหล่อหมดสวยได้ แต่อย่าห่วงไปเลยนะคะ วันนี้เราหยิบเอาเรื่องของ สมุนไพรรักษาสิว และปัญหาผิวหนังต่างๆ มีเฝ้าเพื่อนๆ ให้ได้ทรายและหาวิธีแก้ไขกันค่ะ

อย่างที่เรารู้ ๆ กันนะคะว่า กลไกของการเกิดสิวนั้นมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น อารมณ์ก็ทำให้เกิดสิวได้ เครียดมากก็สิวเห่อ อาหารบางอย่างก็ทำให่มีสิวได้เหมือนกัน เครื่องสำอางค์ยิ่งหนักถ้าใช้แล้วแพ้ ล้างไม่สะอาด ไปอุดรูขุมขน

ทางทีดีเราควรจะเริ่มตั้งแต่การป้องกันค่ะ ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วค่อยมารักษา ซึ่งปัจจุบันนิ้ทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ หันมามอบความไว้วางใจให้กับสมุนไพรกันมากขึ้น ด้วยหวังว่ามันจะไม่ทำให้เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ขอบคุณภาพประกอบจาก : คุณ tanya เว็บไซต์ bloggang.com

สมุนไพรอย่างหนึ่งที่พูดถึงกันมากในสรรพคุณของการรักษาสิวก็คือ ว่านหางจระเข้ ซึ่งเป็นสมุนไพรจำพวกที่ใช้ใบ ภายในจะมีวุ้นใส ๆ และยางเหลือง ๆ ยางสีเหลืองตัวนี้ต้องระวังนะคะ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ ถ้าเผลอเอาไปทาจะแสบร้อน บางคนก็จะแพ้เป็นผิวผื่นคัน ซึ่งถ้าหากอยากทราบว่าเราจะแพ้หรือเปล่า ก็ให้นำว่านหางจระเข้ที่ตัดมาใหม่ ๆ ทางบริเวณท้องแขน ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ถ้ามีอาการคัน แปลว่าผิวเราแพ้ค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก : เว็บไซต์ thaifoodtoworld.com

นอกจากว่านหางจระเข้แล้ว ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ อีกที่เราสามารถนำมาใช้บำรุงผิวหน้าได้ อย่างเช่น หอมแดง เมื่อเรานำมาฝานเป็นแว่น ๆ บาง ๆ นำไปทาบริเวณที่เป็นสิว รอยด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะหายไปค่ะ

ขอบคุณภาพประกอบจาก : baanmaha.com

กล้วยหอม ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน ถ้าเรานำ กล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกัน น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกจำทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใส

ขอบคุณภาพประกอบจาก : spcomputerkrabi.com

ส่วน มะนาว นำมาใช้ประโยชน์ในการดูแลใบหน้าได้มากทีเดียวค่ะ เราใช้มะนาวล้างหน้าแทนสบู่หรือโฟมได้ หรืออาจจะใช้ไข่ขาว 1 ช้อนชา ดินสอพอง 2 เม็ดใหญ่ มะนาว 1/2 ลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากันจะได้ครีมข้นนำมาพอกหน้า พอกตัวประมาณ 20-30 นาที แล้วล้างออก ทำวันเว้นวัน ไม่นานค่ะ ผิวพรรณจะใสนุ่มเนียน


ที่มา : herb.kapook.com

มะรุม พืชมหัศจรรย์ ที่มีคุณค่ามากมาย


ใครรู้จักต้นมะรุมบ้าง ยกมือขึ้น!หลายคนอาจเพิ่งเคยได้ยินชื่อต้นไม้ประหลาดนี้ เลยชวนให้สงสัยว่า มันคือ ต้นอะไร วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกัน รับรองว่า จะได้ทึ่งกับความมหัศจรรย์ของมันอย่างแน่นอน

"มะรุม" มีที่มา

"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Moringa oleifera Lam. วงศ์ Moringaceae เป็นพืชกำเนิดแถบใต้เชิงเขาหิมาลัย เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางที่ถูกปลูกไว้ในบริเวณบ้านไทยมาแต่โบราณ ต้นมะรุมพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ชื่อมะรุมนี้ เป็นคำเรียกของชาวภาคกลาง หากเป็นทางภาคเหนือจะเรียกว่า ผักมะค้อนก้อม ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรียก “ผักอีฮุม หรือผักอีฮึม” ชาวกะเหรี่ยงแถบกาญจนบุรีเรียก “กาแน้งเดิง” ส่วนชานฉานแถบแม่ฮ่องสอนเรียก “ผักเนื้อไก่” เป็นต้น



ลักษณะต้นมะรุม

มะรุมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 3-4 เมตร ทรงต้นโปร่ง ใบเป็นแบบขนนก หรือคล้ายกับใบมะขามออกเรียงแบบสลับกัน ผิวใบสีเขียว ด้านล่างสีจะอ่อนกว่าด้านบน ดอกออกเป็นช่อสีขาว กลีบดอกมี 5 กลีบ ผลหรือฝักมีความยาว 20-50 เซนติเมตร ลักษณะเหมือนไม้ตีกลอง เปลือกผล หรือฝักเป็นสีเขียวมีส่วนคอด และส่วนมนเป็นระยะตามความยาวของฝัก ฝักแก่ผิวเปลือกเป็นสีน้ำตาล เมล็ดมีเยื่อหุ้มกลมเป็นสีน้ำตาล มีขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซนติเมตร

มะรุม เป็นพืชที่ปลูกง่าย เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิด ต้องการน้ำ และความชื้นปานกลาง ขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ด และการปักชำ การปลูกการดูแลรักษาก็ง่ายไม่ยุ่งยากซับซ้อน เกษตรกรจึงมักนิยมปลูกมะรุมไว้ริมรั้วบ้านหรือหลังบ้าน 1-5 ต้น เพื่อให้เป็นผักคู่บ้านคู่ครัวแบบพอเพียงที่ไม่ต้องซื้อหา

คุณค่าทางอาหาร

ผู้เฒ่าผู้แก่นิยมกินมะรุมในช่วงต้นฤดูหนาว เพราะเป็นฤดูกาลของฝักมะรุม จึงหาได้ง่าย และมีรสชาติอร่อย เพราะสดเต็มที่ มะรุมสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู เช่น แกงส้มฝักมะรุม ฝักมะรุมอ่อนผัดน้ำมันหอย ยำฝักมะรุมอ่อน ฯลฯ

ในต่างประเทศมีการค้นคว้า และวิจัยอย่างกว้างขวางที่จะนำพืชชนิดนี้มาใช้รักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์ เนื่องจากมะรุมเป็นพืชที่มีธาตุอาหารปริมาณสูงมาก นั่นคือ

มีวิตามินเอบำรุงสายตามากกว่าแครอ 3 เท่า
มีวิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
มีแคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
มีโพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
มีใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก

นอกจากนี้ น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุมมีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอก ดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

มะรุม ยาวิเศษสารพัดโรค

ในคัมภีร์กล่าวไว้ว่า มะรุม เป็นพืชที่สามารถรักษาทุกโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคลำไส้อักเสบ โรคปอดอักเสบ ฆ่าจุลินทรีย์ หรือเป็นยาปฏิชีวนะ และแต่ละส่วนของต้นมะรุมยังมีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้เป็นยาได้ ไม่ว่าจะเป็น

ราก มีรสเผ็ด หวาน ขม แก้อาการบวม บำรุงไฟธาตุ
เปลือกจากลำต้น มีรสร้อน นำมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ผ้าห่อทำเป็นลูกประคบนึ่งให้ร้อนนำมาใช้ประคบ แก้โรค ปวดหลัง ปวดตามข้อได้เป็นอย่างดี รับประทานเป็นยาขับลมในลำไส้ ทำให้ผายหรือเรอ คุมธาตุอ่อนๆ (ตัดต้นลมดีมาก) แพทย์ตามชนบท จะใช้เปลือกมะรุมสดๆ ตำบุบพอแตกๆ อมไว้ข้างแก้ม แล้วรับประทานสุราจะไม่รู้สึกเมา
กระพี้ แก้ไข้สันนิบาดเพื่อลม
ใบ ช่วยแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้อักเสบ ใบสดมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ มีแคลเซียม วิตามินซี แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก นอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนา และประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
ดอก ช่วยบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ขับน้ำตา ใช้ต้มทำน้ำชาดื่มช่วยให้นอนหลับสบาย
ฝัก รสหวาน แก้ไข้หรือลดไข้
เมล็ด นำเมล็ดมะรุมมาสกัดน้ำมันสามารถใช้ทำอาหาร รักษาโรคปวดตามข้อ โรคเก๊า รักษาโรครูมาติซั่ม และรักษาโรคผิวหนัง แก้ผิวแห้ง ใช้แทนยารักษาผิวให้ชุ่มชื้น รักษาโรคอันเกิดจากเชื้อรา
เนื้อในเมล็ดมะรุม ใช้แก้ไอได้ดี การรับประทานเนื้อในเมล็ด เป็นประจำสามารถเพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกายได้

นอกจากนี้กากของเมล็ดกากที่เหลือจากการทำน้ำมัน สามารถนำมาใช้ในการกรอง หรือทำน้ำให้บริสุทธิ์เป็นน้ำดื่มได้ กากของเมล็ดมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้อ ที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง และยังสามารถนำมาทำปุ๋ยต่อได้อีกด้วย

เห็นสรรพคุณของต้นมะรุมอย่างนี้แล้ว ชักเปรี้ยวปาก อยากหาแกงส้มมะรุมมาทานเสียจริงๆ

ขอบคุณบทความดีๆ จาก : samunpri.com

ว่านหางจระเข้: บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว


คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด

ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าไม่แพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

สรรพคุณ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

ส่วนผสม : ว่านหางจระเข้

วิธีทำ : เลือกใบจากต้นว่าน หางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

หมายเหตุ : ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

อาหาร 12 ชนิด ช่วยชะลอความแก่


การรับประทานอาหารที่ถูกหลักอนามัยก็จะช่วยทำให้สุขภาพดี และยังช่วยปัดเป่าจากโรคภัยอันเกี่ยวกับความแก่ได้อีกด้วย เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง และอัลไซม์เมอร์ ฉะนั้นเราัหันมาสะสมอาหารเพื่อชะลอความแก่กันเถอะ เรามาดูกันว่ามีอาหารอะไรบ้าง ที่ช่วยชะลอความแก่
1.น้ำมันมะกอกเวอร์จินหรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหาร เช่นใส่ในน้ำสลัดเล็ก น้อย หรือผัดผัก ประโยชน์ของน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ช่วยบรรเทาอาการโรคไขข้อได้

2.ขนมปังโฮลวีต การรับประทานขนมปังโฮลวีต 3 แผ่นต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวานชนิด 2 ลงไปได้ 3 เท่า

3.ส้ม เป็นผลไม้ที่รับประทานง่าย เพราะเรารู้ว่าในส้มมีวิตามินซี และวิตามินซีนี้ จัดว่าดีต่อการสร้างคอลลาเจนใหม่ในผิว จึงทำให้ผิวแน่น และอิ่มเอิบ ทางออสเตรเลียได้ค้นคว้าและพบว่า ส้มมีไฟโตเคมิเคิลต่างๆรวมกว่า 170 อย่าง ส้มจึงมีประโยชน์ช่วยป้องกันการอักเสบ ต่อสู้กับโรคมะเร็ง และยังสามารถป้องกันโรคโลหิตอุดตันอีกด้วย

4.ถั่วแดง เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับต้านความแก่ เพราะในถั่วแดงมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ และมีโปรตีนช่วยช่อมแซมร่างกาย มีธาตุเหล็กช่วยในการกระตุ้นพลังงาน วิตามินบี และแมกนีเซียม กากใยยังช่วยลดคอเลสเตอรอลด้วย

5.เมล็ดทานตะวัน เต็มไปด้วยกรดไขมันปกป้องผิวไม่แห้งหยาบกร้าน ทำให้สุขภาพผิวดี ในเมล็ดทานตะวันยังมีสังกะสีที่ช่วยเยียวยาบาดแผล โปรตีนช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และวิตามินอี

6.ปลาแซลมอน เต็มไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ปลาแซลมอนยังดีกับผิวพรรณ และยังช่วยปกป้องผิว และเนื้อเยื่อภายใต้ผิวต่อการทำลายจากแสงแดด แต่ยังไงก็ต้องใช้ครีมกันแดดด้วยนะ

7.ผักขม มีธาตุเหล็ก แอนตี้ออกซิแดนท์ และเซซานตินช่วยต่อสู้กับอาการสายตาที่แย่ลง และมักจะเกิดกับผู้สูงอายุ

8.ขมิ้น เป็นผงสีเหลืองที่ใส่ในแกงกะหรี่ ในขมิ้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันของโรคอัลไซม์เมอร์ เพราะฉะนั้นเลี่ยงกะทิมันๆ และเลือกผักที่เต็มไปด้วยออกซิแดนท์ ถั่ว และแกงกะหรี่ซีฟู้ดแทน

9.อโวคาโด เต็มไปด้วยวิตามินอี และกลูทาไธวัน อโวคาโดยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ต้านความแก่ที่ดี ที่สุดอีก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 6 และวิตามินซี กับแร่ธาตุแมกนีเซียมซึ่งช่วยในการสร้างฮอรโมน ความสุขเซโรโทนินและโดพามีน เพราะฉะันั้นถ้าเรารับประทานอโวคาโดเป็นประจำ ก็จะส่งผลต้านความชราอย่างสูงสุด

10.แครอท เรารู้กันอยู่แล้วว่าในแครอทมีสารเบต้าแคโรทีน และแอนตี้ออกซิแดนท์ นอกจากนี้ยังพบว่าถ้ารับประทานแครอทเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง และยังมีสุขภาพของดวงตาที่ดีอีกด้วย

11.บลูเบอร์รี่ เป็นผลไม้ที่มีพลังแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผลไม้อื่นๆ และบลูเบอร์รี่ยังช่วยการประสานงานในร่างกายของเราเมื่อแก่ตัวลง เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์อีกหนึ่งชนิด อย่าได้ลืมรับประทานเชียวนะ

12.แอปเปิ้ล มีสารเกอซิตินซึ่งเป็นแอนตี้แดนท์ต้านการอักเสบ และยังช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่อยู่ในร่างกาย ถ้าเรารับประทานแอปเปิ้ลเป็นประจำจะช่วยให้ปอดแข็งแรง และลดความเสี่ยงของโรคหอบหืดอีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

15 เคล็ดลับต้อนรับ “ลมหนาว”




ฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนอาจทำให้หลายคนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือผิวแห้งแตกลอกได้ง่ายๆ นะคะ วันนี้มีเคล็ดลับดูแลสุขภาพให้คุณพร้อมสู้กับลมหนาวในปีนี้มาฝากค่ะ

1.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป

การรักษาสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรง จะช่วยให้คุณพร้อมสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่พบได้บ่อยในฤดูหนาว เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกรงกันว่าจะระบาดระลอกที่ 2 ด้วย

2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่างๆ เนื่องจากจะทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม เท่ากับเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

3.อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่ชุมชนที่แออัดยัดเยียด โดยเฉพาะหากมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่

4.ล้างมือบ่อยๆ เพราะอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ลูกบิดประตูราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์สาธารณะ เป็นต้น

5.หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จานชาม ช้อนส้อม

6.หากป่วยแล้วมีอาการไอหรือจาม ควรมีผ้าปิดปากและจมูก หรือสวมหน้ากากอนามัย

7.ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด อาการจะกำเริบได้ง่ายในฤดูนี้ นอกจากอากาศเย็นที่เป็นสาเหตุโดยตรงแล้ว ก็อาจเนื่องมาจากฤดูหนาวจะมีฝุ่นมาก หรืออากาศหนาว ทำให้เราต้องนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาอยู่ร่วมกันในบ้าน หากแพ้ขนสัตว์ก็จะทำให้อาการกำเริบมากขึ้น หรือการนอนนานๆ ในฤดูหนาวซึ่งมืดเร็วและสว่างช้า ก็เพิ่มโอกาสที่จะทำให้แพ้ตัวไรฝุ่นตามที่นอน หมอน ผ้าห่มได้มากขึ้น ดังนั้น ควรระมัดระวังสิ่งกระตุ้นเหล่านี้และรักษาร่างกายให้แข็งแรงเข้าไว้

8.พยายามรักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาว หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นเหมาะกับฤดูกาล หากอยู่ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวก เพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย

9.การอาบน้ำหลังจากตื่นนอนอาจไม่จำเป็นต้องฟอกสบู่หรือฟอกเพียงบางจุด หรือหากอยู่ในที่ที่อากาศหนาวมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องอาบน้ำวันละสองครั้งตามปกติ และไม่ควรอาบน้ำนานๆ

10.ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดจนเกินไป โดยเฉพาะการล้างหน้า เพราะน้ำอุ่นจะทำให้ความชุ่มชื้นของผิวหายไป นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีฟองมากๆ เพราะจะดึงความชุ่มชื้นไปจากผิว และไม่ควรเช็ดถูผิวแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวลอกมากขึ้น

11.ทาโลชั่นบำรุงผิวหลังอาบน้ำขณะที่ตัวยังหมาดๆจะช่วยป้องกันผิวแห้ง แตก ลอก ในฤดูหนาวได้ และควรทาให้ทั่วร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะแขนกับขาเท่านั้น รวมทั้งส่วนที่เรามักไม่ใส่ใจ เช่น เท้า การทาโลชั่นและสวมถุงเท้านอน จะช่วยให้เท้าเนียนนุ่มชุ่มชื้น ลดปัญหาส้นเท้าแตกได้อีกด้วย

ส่วนมือที่แห้งและแตก ก็ควรหมั่นทาครีม หรือโลชั่น เช่นกัน นอกจากจะช่วยให้ความชุ่มชื้นแล้วยังช่วยให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นด้วย สำหรับใครที่มือแห้งมากๆ ลองนวดด้วยน้ำมันมะกอกทิ้งไว้สักพัก ล้างออกด้วยน้ำสบู่ แล้วนวดด้วยครีมทามืออีกครั้ง ไม่ช้าริ้วรอยแห้งแตกก็จะหายไป ส่วนผู้ที่ต้องใช้มือทำงานสัมผัสน้ำอยู่ตลอดเวลา เช่น ล้างจาน ซักผ้า ช่วงหน้าหนาวจะยิ่งรู้สึกแสบมือมาก อาจมีอาการบวมแดงและแตกได้ ควรป้องกันด้วยการสวมถุงมือยางกันน้ำ

12.ริมฝีปากที่แห้งแตกก็ควรได้รับการบำรุงและปกป้องเช่นกัน สมัยนี้มีลิปมัน ลิปบาล์ม ให้เลือกใช้มากมาย รวมทั้งชนิด For Men ของ คุณผู้ชายด้วย สำหรับผู้ชายที่รู้สึกเขินเวลาใช้ลิปแท่ง อาจเลือกซื้อชนิดตลับไว้พกติดตัวก็ได้ ที่สำคัญ ไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อยๆ เพราะจะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากขึ้น

13.ในช่วงหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องสระผมบ่อยๆ เช่นกัน และใช้แชมพูในปริมาณน้อยๆ ก็เพียงพอแล้ว เพราะจะทำให้เส้นผมแห้งแตกปลายได้ง่าย และยังทำให้หนังศีรษะแห้งเกินไปจนเกิดรังแคได้อีกด้วย สำหรับผมที่แห้งมาก การเลือกใช้แชมพูและครีมนวดผมที่เหมาะสำหรับผมแห้งจะช่วยได้ หลังการสระผมอาจใช้น้ำมันบำรุงเส้นผมทาเคลือบที่ปลายผมบางๆ เพื่อลดไฟฟ้าสถิต ช่วยให้ผมไม่ฟู

14.บำรุงร่างกายภายนอกกันแล้ว ก็อย่าลืมบำรุงร่างกายให้ชุ่มชื้นจากภายในด้วย โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะน้ำอุ่นซึ่งจะช่วยให้ร่างกายของคุณอุ่นขึ้น นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้สดให้มากด้วย เพื่อให้ร่างกายชุ่มชื้นจากภายใน

15.การเลือกซื้อเสื้อกันหนาวก็สำคัญค่ะ บางคนเลือกซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง เนื่องจากมีราคาถูก แต่ก็อาจนำเชื้อโรคต่างๆ ติดมาด้วย ควรเลือกให้ดี อย่าให้มีรอยด่างดำและรอยคราบสารคัดหลั่งต่างๆ หรือกลิ่นอับชื้นติดอยู่ เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคได้ เช่น โรคผิวหนัง โรคติดเชื้อ เชื้อรา หรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ก่อนนำไปสวมใส่ควรต้มในน้ำเดือด และซักให้สะอาด แล้วนำไปผึ่งแดดให้แห้งสนิท

แม้แต่เสื้อกันหนาวใหม่ๆ ก็ควรนำไปซักแล้วตากแดดก่อนนำไปสวมใส่เช่นกัน เพราะในเนื้อผ้า อาจมีสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังหรือโรคทางเดินหายใจต่างๆ ได้เช่นกัน

15เคล็ดลับดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาวทั้งหมดที่กล่าวมา คงจะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง พร้อมรับลมหนาวที่กำลังมาเยือน


ที่มา: หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ

วิธีดูแลผิวพรรณต้านลมหนาว



ลมหนาวมาเยือนทีไร หนุ่มสาวทุกรุ่นวัย มักจะวิตกกังวลและวิ่งวุ่นหาผู้ช่วย เพื่อการดูแลผิวพรรณกันเป็นพิเศษ ยิ่งลมหนาวปี 2009 ในบ้านเราที่กลางวันก็ต้องเจอกับแสงแดดจ้า ทั้งลมหนาว ฝุ่นควัน ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น และแห้งมากเป็นพิเศษ การดูแลผิวพรรณในช่วงหน้าหนาวจึงต้องให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ

รท.พญ.นิจวิภา เพชรรุ่ง แนะเทคนิคในการดูแลผิวพรรณในฤดูหนาวนี้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพียงแค่ใส่ใจและให้เวลากับการบำรุงผิวพรรณให้มากเท่านั้นเอง ซึ่งแบ่งการดูแลผิวพรรณได้ 2 ส่วน คือ การดูแลผิวหน้า และ การดูแลผิวกาย เพราะผิวทั้ง 2 ส่วนนี้ ต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน

การดูแลรักษาผิวหน้าในช่วงฤดูหนาว เราควรรักษาความชุ่มชื้นของผิวด้วยมอยเจอไรเซอร์มากเป็นพิเศษ โดยเริ่มต้นการบำรุงผิวรอบดวงตาก่อน เพราะเป็นจุดที่อ่อนโยนและบอบบาง ถ้าเราใช้ครีมบำรุงผิวอย่างอื่นก่อน ก็อาจจะมีส่วนของเนื้อครีมที่ตกค้างอยู่ที่นิ้วมือ มาผสมกับครีมบำรุงรอบดวงตา อาจทำให้เนื้อครีมบำรุงผิวรอบดวงตานั้นเสื่อมสภาพไปได้ ส่วน การใช้ครีมบำรุงผิวหน้า ควรเลือกชนิดของครีมที่เหมาะกับสภาพผิวหน้าที่แท้จริงของแต่ละคน โดยมีเคล็ดลับสำคัญ คือ ต้องเลือกใช้ครีมให้เหมาะสมกับช่วงเวลา ใช้เดย์ครีมสำหรับกลางวัน และไนท์ครีมสำหรับช่วงค่ำ ตั้งแต่19.00 น.เป็นต้นไป

สำหรับการดูแลรักษาผิวกายนั้น รท.พญ.นิจวิภา บอกว่า มีไม่น้อยที่ทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชาย มักจะละเลย ด้วยเพราะชินกับสภาพอากาศที่ร้อนของบ้านเรา การทาครีมบำรุงจึงถูกจำกัดให้ใช้ในเฉพาะช่วงหน้าหนาว ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด การบำรุงผิวกายนั้นเราควรทำเป็นประจำทุกวัน เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณละเลยผิวกายของคุณเอง ก็จะส่งผลให้ผิวแห้งหยาบกร้าน เป็นขุย บางรายออกอาการหนักถึงขั้นขึ้นลายงากันเลยทีเดียว

การบำรุงผิวกายมีความจำเป็นไม่แพ้การบำรุงใบหน้า ยิ่งหน้าหนาวขอย้ำว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด วิธีง่ายแสนง่าย ที่ทำได้เลยทันทีก็คือ ให้ออยล์ใส ชโลมให้ทั่วร่างกายหลังอาบน้ำ ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มซับผิวเพียงเบาๆ แล้วจึงบำรุงด้วยครีมทาผิวที่เหมาะกับสภาพผิวให้ทั่วร่างกาย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้คงความชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี

ที่สำคัญตรงช่วงรอยต่อของข้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหัวเข่า ข้อศอก บริเวณมือ เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพราะจะแห้งง่าย และผิวบริเวณดังกล่าวมักจะด้านเป็นพิเศษ จึงควรมีครีมเฉพาะจุดที่มีความเข้มข้นพิเศษ พกติดตัวไว้ ก็จะเป็นผู้ช่วยประจำวันได้เป็นอย่างดี

รท.พญ. นิจวิภา ย้ำอีกว่า ครีมบำรุงผิวเปรียบเสมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ชั้นดี ที่คอยป้องกันผิวจากแสงแดด สายลม รวมถึงฝุ่นละอองต่างๆ นั่นเอง แต่สิ่งสำคัญอีกประการในการดูแลผิวพรรหลังการบำรุงต่างๆ แล้ว เราไม่ควรลืมใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดด้วย

ในหน้าหนาว บางครั้งเราอาจรู้สึกได้ถึงความเย็นสบาย ไม่ร้อนเท่าที่ควรเมื่อตอนออกแดด ตรงนี้ต้องขอเตือนว่า แสงแดดในฤดูหนาว ที่ให้ความรู้สึกร้อนน้อยกว่าทุกฤดูเพราะอุณหภูมิต่ำนั้น ความเข้มข้นของแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้ลดลงตามไปด้วย จึงประมาทไม่ได้ ขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุง สาวๆ หนุ่ม ควรใช้มอยเจอไรเซอร์ หรือครีมกันแดด ที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไป จะสามารถช่วยปกป้องผิวและลดความแห้งกร้านของผิวได้

รท.พญ. นิจวิภา ทิ้งท้ายว่า การดูแลที่กล่าวมาแล้วเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เพื่อให้การดูแลผิวพรรณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เราต้องดูแลในส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น การเลือกรับประทานอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายและผิวพรรณ ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานผัก ผลไม้ ในปริมาณที่มากพอ การรับประทานอาหารเสริม เช่น วิตามินอี ก็เป็นผู้ช่วยผิวพรรณได้ รวมทั้งการพักผ่อนให้เพียงพอ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยผิวพรรณของคุณแลดูสดใสมีสุขภาพดี


ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า


วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง



สมุนไพรที่ใช้รักษาโรคมะเร็ง

นายแพทย์นพรัตน์ บุณยเลิศ ได้ทำการค้นคว้าวิจัยสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง เพื่อตอบสนองแนวพระราชดำริ ด้วยการค้นคว้าตำราสมุนไพรจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลแล้วนำมาทดลองรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่างๆ

นมผึ้ง
พบว่านมผึ้งให้ผลดีในการรักษากับมะเร็งทุกชนิด

ผิวส้มโอ
ยาป้องกันมะเร็งและไม่ให้มะเร็งลุกลาม (CM)

ส่วนประกอบสำคัญ : ผิวส้มโอ Citrus maxima ใช้แทนว่านหางช้าง เพราะหายาก

วิธีเตรียม : นำเปลือกส้มโอมาเฉือนผิวเขียวๆ โดยไม่ให้ติดส่วนที่เป็นสีขาวหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตากให้แห้ง นำมาบดเป็นผง

วิธีใช้ : ครั้งละ 1 ช้อนชา หลังอาหาร อาจผสมน้ำหรือน้ำผึ้ง


มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง (RJ)

ส่วนประกอบสำคัญ :
Royal Jelly ประมาณ 1 กก.
กระชายดำ 7 ช้อนชา (นำหัวมาตากแห้งและบดเป็นผง)
น้ำ 250 ml นำมาละลายกับกระชายดำ
วิธีใช้ : ครั้งละ 1 ช้อนชา ก่อนนอนและตื่นนอน


ยาเพิ่มภูมิต้านทาน (CAR) ส่วนประกอบที่สำคัญ :

ดอกคำฝอยแห้ง 500 g ( ดอกคำฝอย : เป็นยาเพิ่มภูมิต้านทาน )
แครอทสด จำนวนมาก
ใบบัวบกสดหรือแห้ง 15 g
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบมาต้มกับน้ำให้เดือดประมาณ 1/2 ชั่วโมง


ยารักษามะเร็งปอด (CALG)

ส่วนประกอบสำคัญ :
ทองพันชั่งทั้งต้นแห้ง 60 g
ข้าวเย็นเหนือ 30 g
ข้าวเย็นใต้ 30 g
ตังกุยจี้ (เมล็ดดำเล็กๆ) 30 g
รากชะเอม 10 g
พูคาวทั้งต้นแห้ง 60 g
กะเม็งตัวเมียทั้งต้นแห้ง 60g (ดอกสีขาวเล็กๆ)
วิธีเตรียม : นำส่วนประกอบมาสับรวมกัน ต้มกับน้ำพอท่วม
วิธีใช้ : ครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหาร 3 เวลา


ยารักษามะเร็งเต้านม (BEL)

ส่วนประกอบสำคัญ : ว่านหางช้าง 500 g
(หัวใต้ดิน Belaqunda chinesis พบในปัตตานี นราธิวาส ต้นมีลักษณะคล้ายกะเม็งตัวผู้)

วิธีเตรียม : นำมาสับ ต้มกับน้ำพอท่วมให้เดือดประมาณ ชั่วโมง
วิธีใช้ : ครั้งละ 3 ช้อนโต๊ะ หลังอาหาร 3 เวลา


มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลี จะช่วยป้องกันได้ดี โดยเฉพราะรำข้าว กะหล่ำปลี ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญ อย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต

มะเร็งปอด กินส้มและผักใบเขียว มีวิตามินเอ อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน


เส้นเลือดตีบ กินผลอะโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ' โมโรอันแซตเทอเรต ' ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ' คลอเลสเตอรอล ' ได้

สมุนไพร : ต้านมะเร็ง


-บร็อกโคลี่ ลดการเกิดมะเร็งเต้านม
-กะหล่ำปลี ป้องกันมะเร็ง
-ต้นกะหล่ำดอก ลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งทวารหนัก ลดการเจริญของเนื้องอกในหนูทดลอง
-แครอท ช่วยต้านมะเร็งปอด มะเร็งลำคอ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่มีคำเตือนว่า ไม่ควรรับประทานเป็นสารสกัด เพราะมีผลรายงานว่าก่อให้เกิดมะเร็งได้
-พริก ลดการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
-ผักจำพวกกะหล่ำ ช่วยต้านมะเร็งต่อมลูกหมากและอื่นๆ
-กระเทียม กระเทียมช่วยเพิ่มภูมิต้านทานต่อสู้กับมะเร็ง ทำให้การเจริญเติบโตของมะเร็งที่กระเพาะอาหารช้าลง
-ผลไม้จำพวกส้ม ช่วยกวาดล้างสารมะเร็ง และยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านม
-องุ่น ป้องกันมะเร็ง
-ขิง ช่วยป้องกันมะเร็ง
-เห็ด เพิ่มภูมิคุ้มกัน และช่วยลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
-เห็ดหลินจือ ช่วยต้านมะเร็ง และเป็นยาอายุวัฒนะ
-ส้ม/มะนาว ป้องกันการเกิดมะเร็ง
-มะละกอ ยับยั้งการเกิดมะเร็งปากมดลูก
-สาหร่ายทะเล ลดการเกิดมะเร็งเต้านม มีสารป้องกันการกระจายของเซลล์มะเร็ง
-ชา ลดการเกิดมะเร็งเต้านม มีสารป้องกันการกระจายของเซลล์มะเร็ง
-มะเขือเทศ ช่วยลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม
-ขมิ้นชัน ป้องกันมะเร็งลำไส้ / ลำไส้ใหญ่

สมุนไพรไทยที่อยู่ในกลุ่มที่สามารถนำมาศึกษาวิจัยการฆ่าเซลล์มะเร็ง ได้แก่

สมุนไพรไทยที่มีประวัติรักษามะเร็ง เช่น หญ้าหนูต้น ชิงชี่ กระเม็ง ทองพันชั่ง ไม้แดง

สมุนไพรไทยที่มีประวัติเบื่อสุนัข และเบื่อหนู เช่น ตูมกาขาว ปอหวาน แสลงพันเถา แสลงใจ ดองดึง

สมุนไพรไทยที่มีประวัติเป็นยาฆ่าแมลง เช่น น้อยหน่า สะเดาอินเดีย สามสิบกีบ โล่ติ๊น

สมุนไพรไทยที่มีประวัติเบื่อปลา เช่น มังตาน โล่ติ๊น กลอยป่า ตีนเป็ดทะเล

สมุนไพรไทยที่มีประวัติขับพยาธิ เช่น มะค่าโมง น้อยโหน่ง มะเกลือ คงคาเดือด ไฟเดือนห้า

สมุนไพรไทยที่มีประวัติลูกดอกอาบยาพิษ เช่น เครือน่อง

นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึง พิษงูจงอาง นมผึ้ง เห็ดหลินจือ ปลาไหลเผือก สบู่ดำ ต้นชาใบชา หญ้าปักกิ่ง ว่าสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้ดีเช่นกัน

โดย ดร.พรทิพา พิชา


ดื่มยาน้ำ “เทียนเซียน” ยาจีนสมุนไพรที่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ช่วยรักษามะเร็ง

ดร.เย่ได้อธิบายให้ทราบว่า ยาน้ำเทียนเซียน (Tian Xian Liquid) คืออีกทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่ผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพื่อการฟื้นฟูร่างกายและคุณภาพชีวิตร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน โดยช่วยกระตุ้นการสร้างตัวของสารในเม็ดเลือดขาว ที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดการสร้างเซลล์มะเร็งในร่างกาย และขัดขวางการเจริญเติบโตของเนื้องอก รวมทั้งยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง

การศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่บริโภคยาน้ำเทียนเซียนควบคู่กับการฉายรังสี สามารถเพิ่มปริมาณการทำงานของ T-lymphocyte (อนุภาคที่มีบทบาทสำคัญในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย และผลิตแอนติบอดี้โดยการทำงานร่วมกับ B – lymphocyte เพื่อสร้างภูมิต้านทานอื่น ๆ) ได้ถึง 45.7%

ในขณะที่กลุ่มผู้ป่วย ซึ่งรับการรักษาโดยฉายรังสีอย่างเดียว จะมีการเพิ่มปริมาณการทำงานของ T-lymphocyte เพียง 30% นั่นหมายความว่ายาน้ำเทียนเซียน มีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งจากการทดลองกลุ่มที่แสดงประสิทธิผลได้ดีที่สุดได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ที่ประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นถึง 83.3% เมื่อเปรียบเทียบกับ 33.33% ในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เข้ารับการฉายรังสีอย่างเดียว


วิจัยโอสถสาร "กระชาย" เข้ายาร่วม "พลูคาว" ต้านมะเร็ง

สมุนไพรไทยโบราณชนิดหนึ่งมีสารต่อ ต้านมะเร็งชื่อว่า "พลูคาว" เป็นพืชสมุนไพรที่มีมากทางภาคเหนือของไทย หรือชาวบ้านรู้จักในนาม "ผักคาวตอง" นำมาสกัดเป็นยาน้ำผสมกับจุลินทรีย์ Probiotic สายพันธุ์แลคโตบาซิลลัส โดยนำมาให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งปอด, ต่อมไทรอยด์, ปากมดลูก, สมองและเนื้องอก ใช้ดื่มบำรุงร่างกายควบคู่ไปกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบันโดยการฉายรังสี ปรากฏว่าทำให้ผู้ป่วยโรคมะเร็งหายจากโรคร้ายเร็วกว่าปกติ

มีรายงานวิจัยระบุว่า สีแดงใต้ใบของพลูคาวมีสารช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และต้านทานเนื้องอก พร้อมกับไปขับพิษที่จะเป็นสารก่อมะเร็งออกจากร่างกาย

สรรพคุณ พลูคาว ( คาวตอง)

1. ฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็ง และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว ทั้ง 5 ชนิด(น.38)
2. ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส เช่น เริม งูสวัด ไข้หวัดใหญ่ ตอมทอลซิลอักเสบ
รวมทั้งเชื้อไวรัสร้ายแรงอีกหลายชนิด (น.43)
3. ฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา และแบคทีเรียหลายชนิด ที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนังหลายชนิด เช่น สะเก็ดเงิน
โรคปอดอักเสบ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา(น.45)
4. ฤทธิ์ต้านการอักเสบ เช่น ปอดอักเสบ รูมาตอยด์ หนองใน(น.48)
5. ฤทธิ์ในการส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน.(น.55

ที่มา จากหนังสือ ผักคาวตอง(พลูคาว) สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

กระชาย ....เมื่อนำมาตรวจดู ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า สามารถยับยั้งการหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเรียบ ต้านเชื้อรา ต้านเชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งเนื้องอกก่อกลายพันธุ์ ลดการอักเสบจนถึงละลายนิ่ว ได้อีกด้วย

คุณค่าทางอาหารของมะรุม


มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค


ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน

นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า

วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม

แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด

โพแทสเซียมบำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย

ใยอาหารและพลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

ปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ระบุว่าใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนกกระจอก หอบหืด อาการปวดหูและปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุมเพื่อเสริมธาตุเหล็ก แต่ที่ประเทศที่ฟิลิปปินส์และบอสวานา หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม (ภาษาฟิลิปปินส์ เรียก “มาลังเก”) เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียมให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไท

ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่ เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้ คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin) สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก (lutein และ caffeoylquinic acids) ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ ดูแลอวัยวะต่างๆ ได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือดจากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอการเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลตค้นพบในปี พ.ศ. 2507 จากมะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู

ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจากมะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่งและสารไนอาซิไมซิน (niazimicin) จากมะรุม สามารถต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์ในเซลล์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้

การทดลองในหนูพบว่า หนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังจากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

จากการทดลอง 120 วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม วันละ 200 กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก

ใบมะรุม 100 กรัม

(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. 2537)

พลังงาน 26 แคลอรี

โปรตีน 6.7 กรัม (2 เท่าของนม)

ไขมัน 0.1 กรัม

ใยอาหาร 4.8 กรัม

คาร์โบไฮเดรต 3.7 กรัม

วิตามินเอ 6,780 ไมโครกรัม (3 เท่าของแครอต)

วิตามินซี 220 มิลลิกรัม (7 เท่าของส้ม)

แคโรทีน 110 ไมโครกรัม

แคลเซียม 440 มิลลิกรัม (เกิน 3 เท่าของนม)

ฟอสฟอรัส 110 มิลลิกรัม

เหล็ก 0.18 มิลลิกรัม

แมกนีเซียม 28 มิลลิกรัม

โพแทสเซียม 259 มิลลิกรัม (3 เท่าของกล้วย)


พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอลฟอสโฟไลพิด ไตรกลีเซอไรด์ VLDL LDL ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง 2 กลุ่มมีการสะสมไขมันในตับ หัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)


กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้ ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุมพบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย

ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคนที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุมในหนูที่กินอาหารไขมันสูง มีปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง


สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์อินเดีย สามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุม กรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหาย โดยยาไรแฟมไพซิน พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทรานมิโนทรานสเฟอเรสอัลคาไลน์ฟอสฟาเทสและบิลิรูบินในเลือด

และมีผลกับปริมาณไลพิดและไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยันจากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุมและซิลิมาริน (silymarin กลุ่มควบคุมบวก) มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้

มะรุมไม้กลางบ้านของไทยที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมาเป็นเวลานานนอกจากจะรับประทานอร่อยแล้ว ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลอง และเชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง 300ชนิด

กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจังกับ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทยกลุ่มนักศึกษาแพทย์จำนวน25ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ได้ ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย

โรคงูสวัสดิ์ แม้แต่กลุ่มประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ,เยอรมัน,รัสเซีย,ญี่ปุ่น,จีน ก็หันมาให้ความสนใจ และทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรค มะเร็ง เบาหวาน โรคเอดส์ และอีกมากมาย

ประโยชน์คร่าวๆ จากวารสารค้นคว้าที่พอจะอ้างอิงได้มีดังต่อไปนี้คือ

1.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง 10 ขวบ และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี

2.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ ทำให้สามารถลดการใช้ยาลง โดยความเห็นชอบและการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย

3.รักษาโรคความดันโลหิตสูง

4.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไปสามารถสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 3 ครั้ง

5.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้ และสามารถมีชิวิตอยู่อย่างคนทั่วไปได้ ในสังคมการรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง

6.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็งแต่ถ้าหากเป็นก็จะ ช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้ ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้น และมีร่างกายที่แข็งแรง

7.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม

8.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัวเพราะขาดสารอาหารที่จำเป็น โรคตาต้อ เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์

9.รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น

10.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดินของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ


วิธีใช้

ใบสด ควรรับประทานใบสดที่ไม่แก่หรืออ่อนจนเกินไปนัก เพื่อให้ได้ประโยชน์เต็มที่

เด็กแรกเกิด -1 ปี คั้นน้ำจากใบเพียง 1 หยด ผสมกับนมให้ดื่มเพียง 1 หยด ต่อ 1-2 วัน ใบมะรุมนี้มีธาตุเหล็กสูงมาก ฉะนั้นทารกในวัยเจริญเติบโต - 2 ขวบ จึงไม่ควรทานมาก

เด็กที่เริ่มทานอาหารได้ถึง 3-4 ขวบ ควรทานวันละไม่เกิน 2 ใบ เพิ่มจำนวนขึ้นทีละใบตามอายุ จนถึง 10 ขวบ

เด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ รับประทานวันละ 1 กิ่ง จะทานสดหรือประกอบอาหารก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลรวดเร็ว ควรคั้นน้ำดื่มประมาณวันละ 1 ช้อนโต๊ะสำหรับผู้ใหญ่ หรือ 1 ช้อนชาสำหรับเด็ก

การรับประทานสุกควรลวกแต่พอควรเพราะการถูก ความร้อนนานเกินไปจะทำให้สารอาหารหลายชนิดเสื่อมคุณภาพลงไปมาก ถ้าสามารถรับประทานสดได้จะดีมาก ใช้ทำสลัดรวมกับผักสด หรือวางบนแซนวิช

สามารถนำใบมะรุมมาตากแห้ง โดยการตากในที่ร่มอย่าให้โดนแดดเมื่อแห้งสนิทดีแล้ว นำมาใช้ทำเป็นน้ำชาไว้ดื่มได้ตลอดวัน แต่ใบแห้งจะขาดไวตามินซีและไวตามินบีและแร่ธาตุ บางจำพวกที่สูญหายในระหว่างการทำให้แห้ง


ข้อควรระวัง ในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD คือคนที่เป็นโรคเมล็ดเลือดแดงแตกง่าย คือพร่องG6PDจะมีอาการซีด เพลีย ตัวเหลือง หากมีปัสสาวะสีคล้ายโคล่า ถ้าเป็นมากอาจทำให้ไตวายได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ ห้ามใช้ลูกเหม็นและห้ามกินถั่วปากอ้า และไม่ควรรับประทานใบมะรุม โรคนี้เป็นกรรมพันธ์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

ลูกยอระงับการเติบโตของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก

ลูกยอระงับการเติบโตของเซลล์มะเร็งและเนื้องอก


จากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผลยอสามารถเสริมสร้างระบบภูมิต้านทาน โดยควบคุมการทำงานของเซลล์ต่างๆ และการงอกใหม่ของเซลล์ที่ถูกทำลาย ดังนั้นผลยอจึงมีค่าอันประมาณไม่ได้ในการเป็นสมุนไพรที่ช่วยเยียวยา ด้วยสรรพคุณต่างๆ และนอกจากนี้ผลยอสามารถรับประทานร่วมกับยาอื่นๆ ได้โดยเกือบจะไม่มีปฏิกิริยาทางลบเลย ผลข้างเคียงของผลยอมีน้อยมาก โดยมีน้อยกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้คือ อาการท้องอืด ถ่ายเหลว อาการแพ้หรือมีผื่นเล็กน้อย และอาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อลดปริมาณการรับประทานลง

ผลยอยังมีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งสารสำคัญที่มีผลในการบำบัดอาการนี้คือ สโคโปเลติน (Scopoletin) โดยเป็นสารอาหารจากพืชอย่างหนึ่งที่พบในลูกยอ สารตัวนี้จะมีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือดที่หดตัว ผลคือ ทำให้ระดับของความดันโลหิตลดลงจนเป็นปกติ ซึ่งจะมีผลในการชะลอการเสื่อมของหัวใจด้วย กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว และการสร้าง ภูมิคุ้มกัน เพิ่มภูมิต้านทานโรคให้ดี ขึ้นเพื่อต่อต้านเชื้อโรค,

-ต้านมะเร็ง ป้องกันร่างกายจากการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
-ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา ยับยั้งการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ปกติไม่ให้กลายเป็นเซลล์มะเร็ง
-ต่อต้านเซลล์มะเร็ง และเสริมภูมิต้านทานโรค โดยการกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว เพื่อต่อต้านเซลล์มะเร็งและเชื้อโรคต่าง ๆ
- ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
- ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- เพิ่มคุณภาพชีวิตและช่วยให้ผู้เป็น มะเร็งมีอายุยืนยาวขึ้น
- ช่วยให้เซลล์ขับถ่ายสารพิษต่าง ๆ ออกไปนอกร่างกาย
-ชะลอความเสื่อมของเซลล์, ชะลอความแก่ ป้องกันการตีบตันของหลอดเลือดแดง, ลดการเกิดโรคหัวใจ, อัมพฤกษ์อัมพาต
- ช่วยจับโคเลสเตอรอล (Cholesteral), น้ำตาลในเลือด
- ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล (Cholesteral) และระดับน้ำตาลในเลือด

จากการวิจัยของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า ลูกยอสามารถช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน และป้องกันมะเร็งได้ โดยในลูกยอจะมีสารกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว ซึ่งทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคในร่างกาย และสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งไม่ให้ลุกลาม แต่ไม่ได้รักษามะเร็ง

ยอเป็นผลไม้ที่มีโปรเซอโอนีนประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก ร่างกายที่ต้องการเซอโอนีนจำนวนมาก เนื่องจากภาวะเครียดหนักๆ การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ก่อนเป็นมะเร็ง ปัญหาสุขภาพ (ทั้งทางกายและทางใจ) การติดเชื้อรา การได้รับสารพิษ สิ่งเหล่านี้จะทำให้ระบบร่างกายเกิดความต้องการเซอโอนีนมากขึ้น เมื่อเกิดภาวะเช่นนี้ ความต้องการเซอโอนีนจะมีมาก แต่ตับซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารโปรเซอโอนีน จะผลิตสารนี้ได้ไม่พอกับความต้องการของร่างกายที่ไม่ปกติ ดังนั้นผลยอจึงมีประโยชน์อย่างมาก เพราะยอเป็นผลไม้ที่มีโปรเซอโอนีนประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก

นอกจากนั้นยังมีการศึกษาพบอีกว่า ยอทำให้การทำงานของต่อมชนิดหนึ่งในสมองดีขึ้น ต่อมนี้จะทำหน้าที่ผลิตสารชื่อ Serotonin สารนี้จะเป็นตัวผลิตฮอร์โมน Melatonin ซึ่งสารนี้จะช่วยให้การนอนหลับเป็นปกติ ช่วยให้อุณหภูมิ อารมณ์ มีความสมดุล รวมทั้งยังเชื่อว่า ยอทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่

คุณค่าของน้ำลูกยอ

หากดื่มน้ำลูกยอคั้นสดเป็นประจำ จะช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์และสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทน รักษาโรคภูมิแพ้ ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้นอนหลับเป็นปกติ มีฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็งและระงับการเติบโตของเซลล์มะเร็งเนื้องอก

ผลข้างเคียงจากการดื่มน้ำลูกยอคั้นสด พบน้อยมาก บางคนอาจเกิดอาการท้องอืด หรือระบายท้องในครั้งแรกซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปได้ โดยลดขนาดการรับประทานลง แต่ข้อควรระวังคือ น้ำลูกยอนั้นมีธาตุโพแทสเซียมสูงมากเช่นเดียวกับน้ำมะเขือเทศ ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง จึงไม่ควรรับประทาน เพราะอาจเกิดอันตรายได้

บริโภคนํ้าลูกยอที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ระวังอันตรายจากสารปนเปื้อน

ในจำนวนกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังพบเมทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งห้ามบริโภคปริมาณเกินข้อกำหนดขององค์การอาหารผลิตภัณฑ์ อีกบางส่วนยังพบการปนเปื้อนของเชื้อรา ซึ่งการปนเปื้อนทางเคมี และชีวภาพ จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อผู้บริโภค ที่บริโภคเป็นระยะเวลายาวนานอย่างต่อเนื่อง อาจจะสะสมและเกิดเป็นสารอัลดีไฮน์ในร่างกายโดยเฉพาะที่ตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่สลายเมทานอลปนเปื้อนดังกล่าว เสี่ยงต่อการเป็นโรคอื่นๆ ตามมาในระยะยาว เช่น มะเร็งตับ เป็นต้น

วิธีทำลูกยอรับประทานเอง

การทำน้ำลูกยอ (น้ำโนนิ)
นำลูกยอสุกห่ามๆ (สีเขียวออกเหลืองหรือขาวนวลเล็กน้อย) มาล้างน้ำให้สะอาด แคะเอาเม็ดออก ปั่นแล้วคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำผลไม้เข้มข้นชนิดอื่น เช่นน้ำสับปะรดหรือน้ำมะเขือเทศ เพื่อลดกลิ่นของลูกยอและเพิ่มรสชาติดีขึ้น แต่ถ้าต้องการรสหวานเล็กน้อยให้นำน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่นพอประมาณ แล้วนำไปผสมกับน้ำลูกยอที่คั้นได้ตามต้องการ

ปัจจุบันนิยมนำลูกยอมาปั่นเป็นน้ำลูกยอคั้นสด เพราะเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด อีกทั้งสารสำคัญในลูกยอยังมีความคงตัวอยู่เช่นเดียวกับวิธีอื่นๆ แต่ปัญหาจะอยู่ที่รสฝาดและกลิ่นฉุน รสชาติมันเฝื่อนๆ ขมนิดๆ อาจดื่มได้ลำบาก การนำน้ำลูกยอที่คั้นได้ผสมกับน้ำผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น น้ำองุ่น น้ำบลูเบอรี่ น้ำสับปะรด น้ำฝรั่ง โดยใช้น้ำลูกยอ 9 ส่วน น้ำผลไม้อื่นๆ 1 ส่วนจะช่วยให้กลิ่นและรสชาติของน้ำลูกยอดีขึ้น

ตำลูกยอ

คนอีสานนำลูกยอนำมาทำเป็นอาหารในช่วงหน้าร้อน เพื่อบำรุงธาตุ ทำให้แก้อ่อนเพลีย ขับลม ขับโลหิต นอกจากนี้ยังแก้อาเจียนได้ ลูกยอมีธาตแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี และสารอาหารอื่นๆ

คนอีสานนิยมรับประทานลูกยอด้วยการตำ ตำลูกยอมีบริโภคก็เฉพาะตอนมันแก่เต็มที่เท่านั้น ช่วงลูกอ่อนหรือสุกจะนำมาตำไม่ได้ ลูกยอสุกนิยมเอาไปทำน้ำลูกยอ

วิธีทำตำลูกยอ

นำลูกยอมาล้างให้สะอาด โดยเลือกเอาลูกห่ามๆ จึงจะอร่อย ล้างน้ำแล้วนำมาสับให้ละเอียด อย่างเช่น สับมะละกอ แต่ไม่ต้องปอกเปลือก ส่วนของเมล็ดเกาะติดกันแข็งมาก ไม่นิยมเอาส่วนเมล็ดมาตำปน บางคนบอกถ้าไม่ใส่เมล็ดลูกยอลงไปด้วยไม่แซบไม่มัน แล้วตำพริกแห้งให้แหลก เอาลูกยอลงตำรวมกัน ใส่ปลาร้า น้ำตาล น้ำปลา มะขามเปียก ใส่ลงไปตำรวมกัน ปรุงรสตามใจชอบ

หากต้องการทำเก็บไว้ใช้นานๆ ให้นำลูกยอดิบแก่ ฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงละเอียดละลายน้ำร้อน หรือปั่นผสมน้ำผึ้งรับประทานโดย ใช้ครั้งละ 1 - 2 ช้อนชา หรือ 1 - 2 เม็ดหลังอาหาร

หากรับประทานลูกยอเข้าไปมากๆ ตั้งแต่ 3 ลูกขึ้นไป จะทำให้เกิดการอยากถ่ายเป็นยาระบายได้

ห้ามกินสำหรับคนที่เป็นโรคไต

น้ำลูกยอมีธาตุโปแตสเซียมสูงมากประมาณ 56 meq/L พอๆกับน้ำส้ม และน้ำมะเขือเทศ และมีรายงานว่าผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ทานน้ำลูกยอแล้วมีโปแทสเซียมสูง มากจนเป็นอันตราย จึงไม่ควรทานในผู้ป่วยโรคไต

สมุนไพรต้านเบาหวาน

ตำลึง


เป็นผักที่เรารับประทานเป็นอาหารประจำวันอยู่แล้ว มีรายงานการศึกษาวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนของตำลึง ตั้งแต่ ราก ลำต้น ใบ และผล สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้โดยกลไกการออกฤทธิ์ จะคล้ายกับยาแผนปัจจุบันชื่อ Tolbutamide

อีกทั้งยังมีวิตามินAมหาศาล ช่วยป้องกันโรคตาบอดในเด็กตามชนบท ทั้งยังประกอบด้วยแคโรทีน ซึ่งมีประโยชน์ในการชะลอความแก่และต้านมะเร็ง ตำลึงจึงเป็นผักที่ควรจะเป็นอาหารหลักของผู้ป่วยเบาหวานเพราะไม่มีพิษภัย และยังสามารถนำมาทำอาหารหลากหลายรูปแบบได้อย่างเอร็ดอร่อย


มะระ

ในการลดเบาหวานพบว่า มีสารชื่อpolypeptide-p ซึ่งไปลดการดูดซึมของกลูโคส อีกทั้งมะระยังลดการเกิดต้อกระจก ซึ่งเป็นผล-ข้างเคียงของคนเป็นเบาหวานได้อีกด้วย การทำนำ้มะระ-คั้นสดๆ จึงน่าจะเป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพของคนเป็นโรคเบาหวาน หรือจะรับประทานมะระในรูปแบบของอาหารอื่นๆก็ไม่ว่ากัน แต่สำหรับคนที่หนาวง่าย ร่างกายเย็น คนจีนเชื่อว่าไม่ควรรับประทานมะระทุกวัน เพราะจะทำให้ร่างกายเย็นเกินไป หรือถ้ารับประทานทุกวัน ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุร้อนร่วมด้วย เช่น ขิง หรือพริก(ควรรับประทานมะระจิ้มพริกซะเลย)


ใบมะยม

เป็นผักที่มีวิตามิน A และ C สูููงมากอีกชนิดหนึ่ง ชาวอีสานนิยมทานใบมะยมแกล้มกับส้มตำ มีรายงานการศึึกษาวิจัยพบว่า น้ำสกัดจากใบมะยม สามารถลดน้ำตาลในหนูที่เป็นเบาหวานและไม่เป็นเบาหวาน ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานควรทานใบมะยมเป็นหลัก แต่คนปกติไม่ควรทานใบมะยมมากเกินไป


ผักบุ้ง

เป็นผักที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี และรู้มานานว่าเป้นผักสมุนไพรที่บำรุงสายตา เพราะอุดมด้วยวิตามินA แต่สำหรับคนอินโดนีเซียมักกินผักบุ้งแดง เป็นอาหารรักษาเบาหวาน ปัจจุบันพบว่า ในผักบุ้งมีสารคล้ายอินซูลินสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้จริง ผู้ป่วยโรคเบาหวานจึงควรรับประทานผักบุ้งเป็นประจำ ผักบุ้งยังช่วยลดการท้องผูก ลดอาการร้อนในได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


สะตอ

เป็นผักประจำถิ่นและเป็นสัญลักษณ์ของภาคใต้ สะตอสามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด รับประทานเป็นผักสด หรือจะนำมาผัดก็ได้ทั้งนั้น การศึกษาวิจัยพบว่า สะตอสามารถลดน้ำตาลในเลือดในหนูที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่มีผลในหนูที่ปกติ ทั้งยังสามารถช่วยลดความดันได้อีกด้วย คนไข้เบาหวานประเภทนี้ จึงควรรับประทานสะตอเป็นหลัก


ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย

ประโยชน์ของงา



งาเป็นอาหารที่เรารู้จักกันดีมาตั้งแต่เด็ก เพราะขนมต่าง ๆมักจะมีงาเป็นส่วนผสม ชวนให้หอมน่ารับประทาน แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้จักงาว่างาเป็นพืชที่มีคุณค่าอาหารสูงมาก สูงจนทำให้ทึ่งว่า คุณค่ามากมายนั้นเข้าไปอัดในงาเมล็ดจ้อยนั้นได้อย่างไร ชาวจีนรู้จักคุณค่าของงามาแต่โบราณ จนถึงกับกล่าวไว้ว่า “ กินงามีคุณค่าดั่งได้หยก “ ชาวจีนจึงนิยมกินงา และยังถือว่าน้ำมันงาเป็นยาอายุวัฒนะ ส่วนตำราอินเดียยังกล่าวสรรพคุณของงาไว้ว่า งาเป็นยาบำรุงร่างกายทำให้ร่างกายมั่นคง กำลังกายแข็งแรง งาเป็นพืชล้มลุก มีขนาดเมล็ดเล็ก ๆสีขาวและสีดำ ซึ่งทั้งสองชนิดมีสรรพคุณใกล้เคียงกัน แต่งาดำจะมีคุณภาพดีกว่างาขาว

งาเป็นพืชที่มีคุณค่าอาหารสูงมาก สูงจนทำให้งงว่าคุณค่ามากมายจนจำไม่ไหวนั้น เข้าไปอัดอยู่ในเมล็ดงานั้นได้อย่างไร เมล็ดงามีน้ำมันสูงถึง 35 – 57 %

น้ำมันที่สกัดได้เป็นน้ำมันที่ดีเยี่ยม คือ

1. มีกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง กรดนี้ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็ง ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด

2. เก็บไว้ได้นาน ไม่เหม็นหืนง่ายเหมือนน้ำมันชนิดอื่น

3. ไม่จับแข็งเป็นก้อน

4. มีกลิ่นหอมน่ากิน

โปรตีนในงามีมากมายไม่น้อย เป็นโปรตีนที่จำเป็นสำหรับผู้ถือมังสวิรัติ

คนที่ไม่กินเนื้อจะผึ่งโปรตีนจากถั่ว ซึ่งเป็นโปรตีนที่ขาดกรดอะมิโน ที่ชื่อเมธิโอนีน เจ้าเมธิโอนีนนี้กลับมามีมากในโปรตีนของงาดังนั้น เรากินถั่วพร้อมงา เราก็จะได้โปรตีนครบถ้วน เจ้าเมธิโอนีนนี้ยังมากในโปรตีนของข้าวกล้องข้าวโพด คนที่กินมังสวิรัติจึงต้องกินข้าวกล้อง ถั่ว งา พร้อมกัน และถ้าได้ข้าวโพดเสริมด้วยยิ่งดี

งาเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุมาก คือ มีอยู่ 4.1 – 6.5 % ที่สำคัญคือ ธาตุเหล็ก ไอโอดีน สังกะสี แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส (งามีแคลเซี่ยมมากกว่าพืชผักทั่วไป 40 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าพืชผักทั่วไป 20 เท่า ธาตุ 2 ตัวนี้เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างกระดูก ฉะนั้นจึงควรให้เด็ก ๆกินงา กระดูกจะได้แข็งแรง เจริญเติบโตสูงใหญ่

สำหรับ สุภาพสตรีในวัยหมดประจำเดือนไปแล้วก็ควรกินงามาก ๆ เพราะจะได้แคลเซี่ยม เนื่องจากตนหมดประจำเดือนจะบกพร่องในฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้การดึงแคลเซี่ยมออกมาจากกระดูก โอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมม็มีมาก

งาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบีจริง ๆ คือนอกจากมีวิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 อยู่มากแล้ว ยังมีวิตามินบี 5 บี 6 บี 9 ไบโอดิน โคลิน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค นอกจากกลุ่มวิตามินบีช่วยบำรุงประสาท ดังนี้ ท่านที่มีอาการไม่สบายต่าง ๆที่เกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัว แขนขา เบื่ออาหาร ท้องผูก เมื่อยสายตา ควรหันมากินงาเป็นประจำ

งามีวิตามินบีเกือบครบ ขาดไปชนิดเดียวคือวิตามินบี 12 ( ในถั่วหมักซีอิ้ว และเต้าเจี้ยว ) ผ่านโปรตีน เกลือแร่ วิตามินไปแล้วก็มาถึงไขมันในงา มีกรดไขมันลิโนแอลิคอยู่มาก ซึ่งกรดไขมันนี้จำเป็นต่อการเจริญเติบโต จำเป็นต่อความชุ่มชื้นเพราะเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ ลิโนเลอิคยังช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดอีกด้วย ในงายังมีสารเลคซิทินที่ช่วยลดโคเลสเตอรอลด้วยเหมือนกัน

งายังเป็นอาหารต้านมะเร็งด้วย นักวิทยาศาสตร์บางคนว่าสารเซซามอลที่มีอยู่ในงานั้นป้องกันมะเร็งได้ และยังทำให้ร่างกายแก่ช้าลง

จะเห็นได้ว่างาเป็นอาหารที่มีคุณค่า ชาวจีนถึงกับเปรียบไว้ว่า “กินงามีคุณค่าเปรียบได้ดั่งกินหยก” เปรียบงากับพืชทั่วไปงาเป็นพืชขั้นหัวกะทิทีเดียว

1.งามีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายมาก ( Essential Fattyacid ) ที่เรียกว่ากรดไลโนเลอิค ซึ่งกรดนี้ร่างกายเอาไปสร้างฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า โฟร์สตาแกลนดิน - อี – วัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

1.1 ขยายหลอดเลือด

1.2 ช่วยลดความดันเลือด

1.3 ป้องกันเกล็ดเลือด ( Platel ) ที่จะเกาะตัวกันเป็นลิ่ม หรือที่เรียกว่าคล็อท ( Clot )

1.4 ยับยั้งการสร้างโคเลสเตอรอลในร่างกาย ฮอร์โมน โพรัสตาแลนดิน – อี – วัน จะช่วยยับยั้งไม่ให้สร้างโคเลสเตอรอลมากเกินไป

1.5 ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดขาว ชนิดเรียกว่าที – เซลล์ ( T – cell ) ซึ่งเม็ดเลือดขาวชนิดนี้เป็นภูมิคุม้กันโรคตัวสำคัญของร่างกาย

2. งานอกจากจะมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังมีโปรตีนอีกถึง 20 % โปรตีนของคนเราประกอบด้วยกรดอะมิโนประมาณ 22 ชนิด แต่มีกรดอะมิโนจำเป็นที่ร่างกายสร้างขึ้นเองไม่ได้ ต้องอาศัยจากการกินอาหารมีอยู่ 9 ชนิด ซึ่งมีอยู่ในถั่วเกือบครบถ้วน จะขาดแต่กรดอะมิโนจำเป็นตัวหนึ่ง ชื่อ เมทไธโอนีน ( AMINO METHIONINE ) ที่มีอยู่น้อยไม่พอเพียงแต่กลับมีมากในเมล็ดงา ดังนั้นถ้ากินถั่วพร้อมกับงาก็จะได้โปรตีนครบถ้วน

3.งาเป็นอาหารที่มีแร่ธาตุมาก คือมีอยู่ 4.1 – 6.5 % ที่สำคัญ คือ ธาตุเหล็กช่วยบำรุงเลือด ธาตุไอโอดีนป้องกันโรคคอพอก ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง แคลเซี่ยม และ ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูก – ฟัน และทำให้ไม่เป็นตะคิวง่าย

ข้อควรระวัง

- อย่ากินงามากเกินไปเพราะอาจทำให้ท้องร่วงได้ ( กินมากกว่า 4 ช้อนโต๊ะ )

4.งาเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี คือ นอกจากมี บี 1, บี 2, บี อยู่มากแล้วยังมี บี 5 , บี 6 , บี 9 ,ไบโอดิน, โคลิน ,ไอโนนิตอล กรดพาราอะมิโนเบนโซอิค เนื่องจากกลุ่มวิตามินบีช่วยบำรุงประสาท

5.อื่น ๆ งายังเป็นอาหารต้านมะเร็งด้วย นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสารเซซามอลที่มีอยู่ในงาสามารถป้องกันมะเร็งได้

- งามีวิตามิน อี ซึ่งเป็นอายุวัฒนะ ทำให้ร่างกายสดชื่น ดูหนุ่มสาวและแก่ช้าลง

- งามีสารที่ช่วยป้องกันโรคหวัด

- งายังมีเลซิติน ที่มีความสำคัญมากต่อความสมบูรณ์ของร่างกาย เพราะเลซิตินเป็นส่วนประกอบไขมันที่สำคัญมากในเซลล์ประสาท สมอง หัวใจ ไต และต่อมไร้ท่อ

แหล่งที่มา http://farmdev.doae.go.th


 

HealthandBeautyInfocus Copyright © 2009 เฮลธ์แอนด์บิวตี้อินโฟกัส สุขภาพ ความงาม แฟชั่น แพทเทิร์นงานฝีมือ ดูดวง โปรโมทเว็บฟรี Beauty Blogs - BlogCatalog Blog Directory