วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

-อาหารเพื่อสุขภาพ : อาหารธรรมชาติ



อาหารธรรมชาติ
หลักการรับประทานอาหารที่ดีนั้น ให้ยึดหลักง่าย ๆ ก็คือบริโภคแต่อาหารธรรมชาติที่ปลอดสารพิษ ไม่มีสารปรุงแต่ง และรับประทานข้าวกล้องแทนข้าวที่ถูกขัดสีจนขาว จนทำให้วิตามินและแร่ธาตุพลอยหายไปด้วย
ควรเลือกผักปลอดสารพิษแทนผักที่ฉีดยาฆ่าแมลงหรือแช่ฟอร์มาลีน ผักปลอดสารพิษหาซื้อได้ตามร้านค้าที่มีสติกเกอร์ของ “ผักปลอดสารพิษ” เราควรหันมาบริโภคอาหารที่ปราศจากสีและวัตถันเสีย หรือสารปรุงแต่งต่าง ๆ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง

กระเจี๊ยบมอญ
กระเจี๊ยบมอญเป็นพืชผักที่มีลักษณะปลายฝักแหลม รูปทรงเป็น 5 เหลี่ยม หากจะพินิจให้ดีดูแล้วก็สวยแปลกไม่เหมือนใคร สรรพคุณของกระเจี๊ยบก็มีมากหลาย เช่น สารสกัดจากกระเจี๊ยบช่วยในการขัดพยาธิตัวจี๊ด รักษาความดัน โลหิตให้เป็นปกติ ช่วยบำรุงสมอง นอกจากนี้กระเจี๊ยบยังประกอบไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 เหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และเมือก โดยเฉพาะจะมีคุณสมบัติเด่นคือรักษาโรคกระเพาะ บรรเทาอาการระคายเคืองของเนื้อเยื่อที่อักเสบ กระเจี๊ยบมอญจึงเป็นผักที่ช่วยบรรเทาอาการปวดท้องในคนที่เป็นเยื่อบุกระเพาะ หรือลำไส้อักเสบและยังเป็นยาระบายที่ดีอีกด้วย

กระชาย
กระชายเป็นพืชสมุนไพรที่นำมาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของอาหารไทยหลาชนิด กระชายมีน้ำมันหอมระเหย และสารสำคัญหลายชนิดที่มีสรรพคุณในการช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่น และแก้อาการปวดมานในท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ รักษากลากเกลื้อน และงูสวัด ส่วนสารอาหารที่พบมากในรากและเหง้าของกระชายก็คือ แคลเซียมและวิตามินเอ หากอยากได้สารอาหารและสรรพคุณจากกระชายอย่างครบถ้วน ก็อาจรับประทานกระชายเป็นหนึ่งในผักเคียงกับน้ำพริกได้

กระเทียม
กระเทียมจัดเป็นยอดสมุนไพรชนิดหนึ่ง คุณสมบัติของกระเทียมเป็นที่รู้จักกันดี แทบจะเรียกได้ว่าทั่วโลก กระเทียมสามารถป้องกันมะเร็ง รักษาโรคหัวใจ โรคติดเชื้อต่าง ๆ เช่น วัณโรคและไทฟอยด์ โรคปอด ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินปัสสาวะ โรคหืด โรคพยาธิในลำไส้ ไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ กระเทียมมีคุณสมบัติเป็นยาแก้อักเสบและทำลายแบคทีเรีย โดยไม่มีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอล และลดความดันโลหิตสูง

กะเพรา
กะเพรามีกลิ่นรสร้อนแรงซึ่งใช้สยบกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ในอาหารต่าง ๆ ได้ดี กะเพรามีคุณสมบัติหลายอย่างที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นสรรพคุณทางยาหรือในการนำมาประกอบอาหาร โดยเฉพาะฤทธิ์ทางยา กะเพราช่วยคลายความอึดอัด ไม่สบายท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือจุกเสียด โดยให้ใช้กะเพราชงในน้ำร้อนแล้วดื่ม อาการจะดีขึ้น นอกจากนี้กะเพรายังช่วยเพิ่มปริมาณน้ำนมแม่ในสตรีหลักคลอดได้อีกด้วย ส่วนสารอาหารอื่นที่มีอยู่ในกะเพรา ก็เช่นเบตาแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือดได้ ใบกะเพรายังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง ดังนั้นการปรุงอาหารที่มีส่วนประกอบของใบกะเพราอยู่ด้วย ก็ช่วยให้ได้สารอาหารค่อนข้างครบครันทีเดียว

กะหล่ำดอก
กะหล่ำดอกเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลีและบรอกโคลี มีวิตามินซีสูงมาก กะหล่ำดอก 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 96 มิลลิกรัม สูงกว่าที่ร่างกายเราต้องการใน 1 วัน คือ 60 มิลลิกรัมเสียอีก นอกจากจะช่วยป้องกันโรคเลือกออกตามไรฟันแล้วยังช่วยเพิ่มปริมาณสเปิร์ม และทำให้สเปิร์มแข็งแรงอีกด้วย ในกะกล่ำดอกมีสารซัลโฟราเฟนที่เพิ่มปริมาณเอนไซม์ ที่เป็นหลักในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง ช่วยป้องกันมะเร็งที่เต้านมและลำไส้ใหญ่ได้ดี

กะหล่ำปลี
น้ำกะหล่ำปลีคั้นสดสามารถรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจากควรรับประทานกะหล่ำปลี เพราะมีธาตุเหล็กสูง จากการทดลองพบว่าเม็ดเลือดแดงของกระต่ายอยู่ในระดับปกติ เมื่อได้กินกะหล่ำปลี กะหล่ำปลียังมีประโยชน์ต่อผู้ที่เครียดจัดและผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ กะหล่ำปลีเป็นอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง จากผลการวิจัย กินกะหล่ำปลีมากกว่า 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะลดโอกาสการเป็นมะเร็งลำไส้ในผู้ชายได้ถึงร้อยละ 66 ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ไม่ควรกินกะหล่ำปลีสดมาก เพราะในกะหล่ำปลีสดมีสาร Goitrogen ซึ่งถ้ามีมากจะขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้

กล้วย
กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูงและยังมีสังกะสี เหล็ก กรดโฟลิก แคลเซียม และสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากนั้นกล้วยยังมีเพกติน ซึ่งช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ เช่นเดียวกับแอปเปิล สารนี้จะช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระทำให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น กล้วยมีปริมาณวิตามินบี 6 เท่ากับตับ (ในปริมาณน้ำหนักที่เท่ากัน) หัวปลีก็มีประโยชน์ไม่แพ้ผลกล้วย หัวปลีให้วิตามินสูง นำมากินแกล้มผัดไทย หรือจะใส่ในต้มข่าก็อร่อยเช่นกัน

กล้าอ่อน
กล้าอ่อน ในที่นี้หมายถึงการนำเมล็ดพืชมาเพาะให้งอก แล้วนำมารับประทานเลย เมล็ดพืชขณะที่กำลังงอกนั้นปริมาณวิตามินจะเพิ่มขึ้นสูงถึง 700 เปอร์เซ็นต์ และอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 เกลือแร่ และเอนไซม์ รับประทานกล้าอ่อนสด ๆ เช่น นำไปใส่แซนด์วิชหรือใส่สลัดผัก เมล็ดธัญพืชที่นำมาเพาะได้ก็มี ถั่วเหลือง ถั่วเขียว อัลฟาฟา งา ข้าวบาร์เลย์ เป็นต้น หากได้เมล็ดธัญพืชปลอดสารพิษก็ยิ่งดี เมล็ดธัญพืชที่เพาะใช้เวลา 2-6 วันก็นำมารับประทานได้

กีวีฟรุต
กีวีฟรุตนับว่าเป็นผลไม้ที่แปลก เปลือกดูไม่ค่อยน่ารับประทาน แต่เนื้อในเป็นสีเขียวฉ่ำแสนอร่อย แถมยังมีคุณค่าอาหารมากมายทีเดียว กีวีฟรุตมีวิตามินซีมากกว่าส้มถึงสองเท่า มีกากใยมากกว่าแอปเปิล และมีวิตามินอีเท่ากับอโวคาโด กีวีฟรุตยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยลดความดันโลหิต ลดความเครียด ความอ่อนเพลีย และช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทำงานดีขึ้น กีวีฟรุตสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ เวลาจะรับประทานจึงค่อยปลอกเปลือกออก

กุยช่าย
กุยช่ายเป็นผักกลิ่นแรงชนิดหนึ่ง ที่เราคุ้นเคยกันมี 3 ประเภทคือ กุยช่ายเขียว กุยช่ายขาว และดอกกุยช่าย ซึ่งล้วนแต่เป็นพันธุ์เดียวกันทั้งสิ้น ต่างกันตรงกระบวนการปลูกและการตัดส่วนมาขาย กุยช่ายมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรงมีธาตุเหล็ก ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินซีและเบตาแคโรทีน ที่สำคัญก็คือ กุยช่ายมีกากใยอาหารสูง ช่วยให้ถ่ายคล่อง ท้องไม่ผูก ลดโอกาสการเป็นริดสีดวงทวารและมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ดี

ข่า
ข่าเป็นอีกหนึ่งในพืชผักสมุนไพรที่ครัวไทยบ้านเราขาดไม่ได้ เพราะนอกจากสรรพคุณด้านยาแล้ว ข่ายังประกอบด้วยวิตามินหลากหลายทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินซี มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตัวสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็ง นอกจากนี้ข่ายังช่วยขับลมแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียด ขับเสมหะ หลอดลมอักเสบ ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเรียบ สร้างภูมิคุ้มกัน ต้านวัณโรค อาหารจานต่อไปอาจเป็นข้าวน้ำพริกลงเรือ ที่รับประทานกับเครื่องเคียงอย่างข่าอ่อนต้มก็ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะได้ทั้งคุณค่าและความอร่อยครบสูตร

ข้าว
ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวตะวันออกหลาย ๆ ชาติ เช่น ไทย ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น ข้าวเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก แต่ปัจจุบันได้ถูกขัดสีจนขาว ซึ่งทำให้ผู้คนเป็นโรคเหน็บชากันมาก เพราะว่าวิตามินบี 1 หรือไทอามิน ซึ่งมีอยู่ในข้าวกล้องได้ถูกขัดสีออกไปจนหมด ข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวขัดขาว ข้าวต้มข้าวกล้องเปล่า ๆ รับประทานบรรเทาอาการท้องเสีย น้ำข้าวช่วยลดไข้ เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดสี จะทำให้ร่างกายหายจากอาการเจ็บป่วยและเพิ่มพลังได้ด้วย กากใยที่มีอยู่ในเมล็ดพืช จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้และมะเร็งที่อื่น ๆ

ข้าวสาลี
ข้าวสาลีก็เช่นเดียวกับข้างที่ปัจจุบันถูกขัดสีจนขาว ขัดเอาวิตามินและเกลือแร่ออกไปหมด อย่างเช่น สังกะสี แมกนีเซียม วิตามินบี 6 วิตามินอี และแทบจะไม่มีกากใยหลงเหลืออยู่ แป้งสาลีชนิดไม่ขัดขาวมีคุณค่าอาหารอย่างมาก อุดมไปด้วยโปรตีน ขนมปังโฮลวีตจึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์มาก ข้าวสาลีนำไปเพาะเป็นกล้าอ่อน นำมาปรุงอาหารจะให้คุณค่าทางอาหารอย่างมาก เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ชาวยุโรปบริโภคกันมาเป็นประจำ ข้าวโอ๊ตอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ข้าวโอ๊ต 100 กรัม มีโปรตีน 12 กรัม วิตามินอีเล็กน้อย วิตามินบีรวม มีแคลเซียมสูง โพแทสเซียม และแมกนีเซียม มีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ข้าวโอ๊ตช่วยบรรเทาอาการเจ็บและระคายเคืองของลำไส้ได้เป็นอย่างดี ข้าวโอ๊ตเป็นอาหารที่ช่วยรักษาอาการป่วยได้ดี จึงนิยมให้ผู้ป่วยรับประทานข้าวโอ๊ตต้ม ข้าวโอ๊ตยังเหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานด้วย ข้าวโอ๊ตมีเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ จึงช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

ขิง
ขิงช่วยทุเลาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียดได้ เพราะขิงจะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยขับลม ทำให้สบายท้อง ขิงช่วยป้องกันอาการเมารถเมาเรือได้ดีกว่ายาป้องกันเมารถเมาเรือเสียอีก เพราะยาพวกนี้มีผลข้างเคียงคือ ทำให้ง่วง ปากแห้ง มึนงง ในขณะที่ขิงไม่มีผลข้างเคียงเหล่านี้ คราวหน้าก่อนขึ้นรถลงเรือ อย่าลืมดื่มน้ำขิงแก่ ๆ หรือรับประทานไก่ผัดขิงไปล่วงหน้า คนที่ไอโขลก ๆ ให้ฝนขิงกับน้ำมะนาวผสมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอ อาการไอและเสมหะจะบรรเทาลา

ขี้เหล็ก
ขี้เหล็กเป็นผักที่คนส่วนใหญ่เมิน ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับประทานสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่ขี้เหล็กมีแร่ธาตุที่มีคุณประโยชน์มากมาย ขี้เหล็กมีเบตาแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา ต้านอนุมูลอิสระ ลดโอกาสการเป็นมะเร็ง
สารแอนทราควิโนนในใบและดอกตูมเป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยให้ถ่ายคล่อง แก้ท้องผูก และยังช่วยป้องกันการเกิดนิ่วอีกด้วย ใบขี้เหล็กมีสรรพคุณทำให้นอนหลับได้ง่ายและคลายเครียด โดยใช้ใบแห้ง 30-40 กรัม หรือใบสด 50 กรัม ต้มกับน้ำ 1 ลิตรให้เดือดนาน 15 นาที ดื่มก่อนนอนจะทำให้นอนหลับสบาย

ขึ้นฉ่าย
ขึ้นฉ่ายที่เราพบเห็นทั่วไปในตลาดจะเป็นขึ้นฉ่ายพันธุ์จีน ส่วนขึ้นฉ่ายพันธุ์ฝรั่งหรือเซเลอรีมีต้นอวบใหญ่กว่า ขึ้นฉ่ายมีสารพิเศษที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตได้ ขึ้นฉ่ายสด ๆ มีวิตามินซีสูง นำมาทำสลัด ยำรสจัด หรือทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคได้ดี นอกจากนี้ขึ้นฉ่ายยังมีเบตาแคโรทีนสูง ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ขึ้นฉ่ายมีโซเดียมต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคไต แถมรับประทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนเพราะมีแคลอรีต่ำ ลำต้นและใบของขึ้นฉ่ายมีน้ำมันหอมระเหย ทำให้มีกลิ่นหอมเมื่อนำมาปรุงอาหาร จะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารได้

คะน้า
คะน้าเป็นพืชตระกูลเดียวกับกะหล่ำ ใบเขียว ๆ ของคะน้าเป็นแหล่งวิตามินและเกลือแร่มากมาย เช่น วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื่น และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคสมบูรณ์ แต่วิตามินซีสลายไปได้ง่าย ดังนั้นการรับประทานสด ๆ จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด นอกจากวิตามินซีแล้ว คะน้ายังอุดมด้วยสารเบตาแคโรทีน ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ ทีเด็ดอีกอย่างของคะน้าคือ มีแคลเซียมสูง แถมยังดูดซึมได้ดีกว่าแคลเซียมจากผักชนิดอื่น ๆ ด้วย

แค
แคเป็นผักพื้นบ้านของเรามานาน รายการอาหารยอดนิยมก็คือ แกงส้มดอกแค คนโบราณมักแนะนำให้คนที่เป็นหวัดรับประทานแกงส้ม แก้หวักคัดจมูกได้ เพราะน้ำจากดอกแคมีสรรพคุณแก้ปวดหัว มึนหัว และคัดจมูก
ยอดแคมีเบตาแคโรทีนสูงมาก เบตาแคโรทีนจะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคมะเร็งได้ ยอดแคมีเบตาแคโรทีนมากกว่าดอกแค แต่ดอกแคมีวิตามินซีสูงกว่ายอดแค รับประทานดอกแคสด ๆ 100 กรัม จะได้วิตามินซีถึง 35 มิลลิกรัม ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันหวัด และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

แครอต
แครอตอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน แครอต 1 หัวจะให้วิตามินเอในปริมาณที่ร่างกายต้องการเพียงพอสำหรับ 1 วัน และยังมีวิตามินซีด้วย แครอตมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคทางเดินหายใจ โรคผิวหนังและสายตา แครอตเป็นผักที่ได้ชื่อว่า ช่วยป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย โดยเฉพาะมะเร็งในปอดเพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant หากจะอดอาหารเพื่อสุขภาพ (Fast) สัก 2-3 วันโดยไม่รับประทานอะไรเลย นอกจากน้ำกับแครอตสดจะช่วยรักษาโรคตับ น้ำแครอตมีประโยชน์ต่อคนเป็นดีซ่านด้วย การรับประทานแครอตจะช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง การวิจัยยังพบว่า แครอตช่วยปกป้องอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตได้ด้วย ถ้าอยากจะอ่อนวัยสุขภาพดี สาวเสมอ สวยเสมอ อย่าลืมรับประทานแครอตเป็นประจำ

งา
ชาวมังสวิรัติทุกคนจะรู้จักงาเป็นอย่างดี งา 100 กรัมให้โปรตีนถึง 26 กรัม และยังมีกรดอะมิโนที่มีประโยชน์ต่อตับและไตอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย งา 100 กรัมมีเหล็ก 7 มิลลิกรัม และสังกะสี 10.3 มิลลิกรัม ควรรับประทานงาพร้อมกับผลไม้หรือผักที่ให้วิตามินซี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากโปรตีนและเกลือแร่แล้วงายังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และวิตามินอีอีกด้วย คุณประโยชน์ที่สำคัญอย่างของงาอีกอย่างหนึ่งก็คือ งามีแคลเซียมสูงมาก ในงาดำคั่ว 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 1452 มิลลิกรัม ซึ่งคนปกติต้องการแคลเซียมประมาณ 800 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นการรับประทานงาเป็นประจำ จะช่วยเสริมแคลเซียมให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี

ชะอม
ชะอมเป็นผักกลิ่นแรงที่ให้เส้นใยอาหารสูง ชะอม 100 กรัมให้เส้นใยอาหารสูงถึง 3.9 กรัม ใยอาหารจะจับสารก่อมะเร็งต่าง ๆ เอาไว้เพื่อขับถ่ายทิ้งไปในที่สุด ยอดชะอมที่เรานิยมนำมาทำชะอมชุบไข่ทอดรับประทานกับน้ำพริก ให้สารเบตาแคโรทีนสูง ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือดได้ ข้อควรระวังคือ คุณแม่ลูกอ่อนไม่ควรรับประทานชะอม เพราะเชื่อว่าจะทำให้น้ำนมแห้ง

ชา
ชาเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ มี 2 ชนิดใหญ่คือ ชาจีนกับชาฝรั่งซึ่งมีกลิ่นและรสต่างกันตามกรรมวิธีในการผลิต ในใบชามีคาเฟอีนที่กระตุ้นสมองให้สดชื่นแจ่มใส มีสารแทนนินที่มีรสฝาด ใช้แก้อาการท้องเสียได้ โดยชงชาให้แก่จนฝาด แล้วดื่มเป็นระยะจนกว่าจะหยุดถ่าย อย่าดื่มมากเกินไปเดี๋ยวจะท้องผูก นอกจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ในชาจีนยังมีสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ สามารถยับยั้งการสร้างสารไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ดั้งนั้นเราจึงควรดื่มชาระหว่างอาหารเป็นประจำ เพื่อป้องกันมะเร็งไม่ให้มากล้ำกราย

เซเลอรี
เซเลอรีมีลักษณะคล้ายขึ้นฉ่ายแต่ขนาดใหญ่กว่ามาก เซเลอรีอุดมไปด้วยแคลเซียม ช่วยขับปัสสาวะ เซเลอรีช่วยรักษาโรคไขข้อ จากการวิจัยของดอกเตอร์เดวิด เลวิส สถาบันวิจัยแอสตันแห่งมหาวิทยาลัยในบริเทนได้ผลการวิจัยว่า เซเลอรีช่วยลดกรดยูริกที่ทำให้ปวดไขข้อ เซเลอรีใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบเซเลอรีนำมาปรุงอาหารไดหลายชนิด เช่น ผัด สลัด ฯลฯ ส่วนเมล็ดนำมาชงกับน้ำร้อน ช่วยบรรเทาอาการไขข้ออักเสบ เกาต์ หรืออาจจะให้ดื่มน้ำเซเลอรีวันละครึ่งแก้วก็ได้ คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคไตก็สามารถรับประทานได้ เซเลอรีช่วยลดแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้ด้วย

ต้นกระเทียม
ชาวอียิปต์ กรีก และโรมันใช้ต้นกระเทียมเป็นยาสมุนไพรมานานแล้ว ต้นกระเทียมใช้เป็นสมุนไพรรักษาโรคเช่นเดียวกับหัวหอมและกระเทียม ในประเทศฝรั่งเศสใช้ต้นกระเทียมรักษาโรคระบบทางเดินปัสสาวะ ต้นกระเทียมมีโพแทสเซียมสูง มีคุณสมบัติในการชำระล้างอวัยวะภายใน ขับปัสสาวะ และขับกรดยูริก คนที่ป่วยด้วยโรคไขข้ออักเสบและเกาต์จึงควรรับประทานต้นกระเทียม เพื่อช่วยบรรเทาอาการของโรค

ตำลึง
ตำลึงเป็นผักพื้นบ้านที่ปลอดสารพิษแน่นอน มีคุณค่าอาหารสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเบตาแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจขาดเลือดได้ มีแคลเซียม เหล็ก และสารอาหารอื่น ๆ อีกมาก จากงานวิจัยพบว่า ตำลึงประกอบด้วยเส้นใยที่มีความสามารถในการจับสารไนโตรต์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ดีที่สุด เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น ๆ ทำให้ลดอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้

แตงโม
แตงโมเป็นผลไม้ที่หวานฉ่ำแสนอร่อย หรือนำมาปั่นเป็นน้ำแตงโมดื่มดับกระหายคลายร้อนก็ดี แตงโมเป็นผลไม้ที่กระตุ้นการทำงานของไต เป็นยาระบายอ่อน ๆ มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคเกาต์หรือท้องผูก เมล็ดแตงโมนำมาต้มไฟอ่อน ๆ ประมาร 30 นาที นำมาดื่มเป็นยาบรรเทาอาการป่วยเนื่องจากโรคไต หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แตงโมสามารถนำมารับประทานในวันที่อดอาหารมีประโยชน์เช่นเดียวกับองุ่น คือจะช่วยชำระล้างอวัยวะภายในให้สะอาด

ถั่ว
ถั่วส่วนใหญ่อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมน มีแร่ธาตุต่าง ๆ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ เราสามารถนำถั่วมาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ เช่น นำมาคั่วอบเนย หรือทำเป็นเครื่องดื่ม เช่น นมถั่วเหลือง เป็นต้น

ถั่วพู
ถั่วพูเป็นถั่วอีกชนิดหนึ่งที่มีโปรตีนสูง โดยเฉพาะโปรตีนที่ชื่อเลกติน นอกจากนี้ถั่วพูยังให้กรดอูซิก ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยรักษาสิวและโรคผิวหนังบางชนิดด้วย ถั่วพูเป็นผักที่มีคุณค่าอาหารสูง เพราะประกอบด้วยธาตุอาหารต่าง ๆ ครบครัน เช่น ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินซี หากจะอยากได้วิตามินซีต้องรับประทานถั่วพูสด ๆ แต่ต้องเลือกฝักอ่อน ๆ ที่ยังไม่มีเมล็ด เพราะเมล็ดถั่วพูดิบมีสารประกอบบางชนิดที่มีผลเสียต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย ส่วนเมล็ดถั่วพูแก่ ๆ จะมีวิตามินเอ วิตามินอี และยังมีโปรตีนสูงใกล้เคียงกับถั่วเหลืองอีกด้วย

ถั่วลันเตา
ถั่วลันเตานิยมนำมาผัดแบบจีน ในถั่วลันเตามีเบตาแคโรทีนสูง เมื่อนำมาผัดกับน้ำมันจะช่วยให้ร่างกายนำเบตาแคโรทีนไปใช้ได้ เพราะเบตาแคโรทีนเป็นสารตั้นต้นของวิตามินเอ ซึ่งสลายได้ในน้ำมัน ถั่วลันเตามีแร่ธาตุหลายอย่าง เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส มีเส้นใยอาหารมาก เพิ่มอุจจาระ ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง และที่สำคัญคือเส้นใยอาหารจุดูดสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายแล้วขับออกนอกร่างกาย ช่วยป้องกันมะเร็งได้ดี นอกจากนี้ถั่วลันเตาและถั่วชนิดอื่น ๆ ยังมีโปรตีนจากพืชมากกว่าผักชนิดอื่น ๆ และเป็นโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพ

ถั่วเหลือง
ถั่วเหลืองอุดมด้วยโปรตีน เหล็ก แคลเซียม วิตามินบีรวม และเลซิทิน เลซิทินสามารถลดโคเลสเตอรอล ทำให้ปริมาณไขมันในเลือดลดลง ป้องกันการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือด บำรุงสมอง ถั่วเหลืองนำมาแปรรูปได้หลายแบบ เช่น แป้งถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง มิโสะ เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ เป็นต้น อีกทั้งยังนำมาปรุงอาหารได้หลากรูปแบบ เป็นอาหารที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง

นม
นมมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม วิตามินบี เหล็ก และสังกะสีอีกเล็กน้อย นมวัวและนมแพะมีไขมันสูง ไขมันในนมเป็นไขมันประเภทอิ่มตัว ซึ่งจะเพิ่มปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือด ผู้ใหญ่จึงควรดื่มนมพร่องมันเนย แต่จะได้วิตามินเอ วิตามินดี และวิตามินอีน้อยลง อย่าให้เด็กดื่มนมพร่องมันเนย เพราะเด็กจำเป็นต้องใช้ไขมันเป็นตัวให้พลังงาน ผู้ใหญ่จำนวนมากไม่มีเอนไซม์ย่อยน้ำตาลในนม เมื่อดื่มนมจึงทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องอืด และท้องเสียได้ จึงควรหันไปรับประทานนมเปรี้ยว โยเกิร์ต เนย และเนยแข็งแทน

น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งมีคุณสมบัติเป็นทั้งอาหารและยา โดยเฉพาะยาลูกกลอนของไทยจะมีน้ำผึ้งผสมอยู่ตามมาตรฐานสากล ถือกันว่า น้ำผึ้งที่จัดว่าเป็นน้ำผึ้งที่ควรได้จากน้ำหวานของดอกกานพลู น้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ เนื่องจากพบว่า คนที่ดื่มน้ำผึ้งเป็นประจำจะมีอุจจาระเหลวกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำผึ้ง แต่ในทางตรงข้ามหากผู้ใดเกิดอาการท้องเสีย น้ำผึ้งก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้เช่นกัน คนโบราณจึงถือเอาน้ำผึ้งเป็นยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า น้ำตาลในน้ำผึ้งเป็นยานอนหลับอย่างอ่อนอีกด้วย

บรอกโคลี
บรอกโคลีเป็นผักตระกูลกะหล่ำ ซึ่งเป็นอาหารต้านมะเร็ง การรับประทานผักตระกูลกะหล่ำมาก ๆ ช่วยลดอัตราการเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้ บรอกโคลีมีวิตามินเอสูง และยังอุดมด้วยเหล็ก ซึ่งเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง ร่างกายอ่อนเพลียและผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบประสาท นอกจากนี้บรอกโคลียังมีประโยชน์ต่อผู้ที่ปวดข้อ และช่วยป้องกันโรคหัวใจด้วย

บัวบก
บัวบกเป็นพืชใบสวยที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์นานาสารพัน สรรพคุณทางยาที่รู้กันมาช้านานก็คือ ใบบัวบกช่วยสมานแผลภายนอก ส่วนสารสกัดที่ได้จากผลแห้ง ก็ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร และช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สมองก็ทำงานได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ความจำดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ใบบัวบกยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 1 ซึ่งมีมากกว่าผักอีกหลายชนิดในปริมาณที่เท่ากัน เช่น กะหล่ำปลี ผักกระเฉด กะหล่ำดอก คะน้า และยอดชะอม จากการวิจัยพบว่าวิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ช่วยในการพัฒนาสมองของคนเราอีกด้วย ใบบัวบกนอกจากจะดีกับสมองแล้ว ยังบำรุงหัวใจด้วย เพราะช่วยลดอาการแพ้ ลดความดันเลือด และช่วยสร้างกล้ามเนื้อ รวมถึงบำรุงผิวพรรณด้วย ส่วนคุณสมบัติดั้งเดิมที่เราทราบก็คือ แก้ช้ำใน และอาการบาดเจ็บภายนอกนั้นใบบัวบกก็ยังมีอยู่เต็มเปี่ยม

ใบปอ
สีเขียวเข้มจัดตัดกับสีขาวนวลของข้าวต้มร้อน ๆ ที่พร้อมเสิร์ฟนั้น จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่าประกอบด้วยธาตุอาหารธรรมดา ๆ แต่หากสำคัญยิ่งต่อร่างกาย เช่น เหล็ก แคลเซียม เบตาแคโรทีน ตัวเอกที่ป้องกันการเกิดมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือด ใบปอยังมีวิตามินสูง แต่มักหมดไปเพราะการผัดน้ำมันด้วยความร้อนสูง อย่างไรก็ตามคุณค่าทางอาหารอย่างอื่น ๆ ยังคงอยู่อีกมาก เช่น วิตามินบี 2 ฟอสฟอรัส ไนอาซิน และ โปรตีนเป็นต้น

ใบแมงลัก
บทบาทของใบแมงลักดูเหมือนจะเป็นแค่เครื่องเคียง หรือแต่งหน้าแต่งกลิ่นอาหารเท่านั้น แท้จริงแล้วใบแมงลักยังมีฤทธิ์ทางยาคือ ช่วยขับลม เป็นยาระบายอ่อน ๆ และมีเบตาแคโรทีนสูง ส่วนต่าง ๆ ของแมงลักสามารถมาแยกทำยาได้ โดยเฉพาะในส่วนใบและลำต้น หากรับประทานสดจะช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ น้ำคั้นจากใบสดใช้รับประทานแก้หวัดและหลอดลมอักเสบได้ สำหรับเมล็ดถ้ารับประทานเมล็ดแห้งแบบไม่ต้องแช่น้ำสักประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ จะช่วยดูดซึมแก้โรคเบาหวานได้

ปลาทะเล
น้ำมันจากปลาทะเลต่าง ๆ เช่น ปลาแมคเคอเรล แซลมอน ทูน่า จะละเม็ด กะพงขาว ปลาทู และซาร์ดีน มีกรดชนิดหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีชื่อว่า โอเมกา-3 ซึ่งมีคุณประโยชน์ต่อการทำงานของเซลล์ ช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หากรับประทานเป็นประจำจะป้องกันโรคหัวใจได้ จากการวิจัยพบว่าถ้ากินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจล้มเหลวได้ถึง 1 ใน 3
การปรุงด้วยวิธีนึ่ง ย่าง อบ และต้ม จะดีที่สุดเพราะช่วยรักษาน้ำมันที่มีประโยชน์ไว้ การทอดจะทำลายโอเมกา-3 ปลากระป๋องก็ให้ประโยชน์เช่นกัน สามารถกินได้ทั้งกระดูกและก้าง ทำให้ได้แคลเซียมเพิ่มขึ้นด้วย

ปวยเล้ง
ปวยเล้งอุดมด้วย ธาตุเหล็ก กินแล้วแข็งแรงแบบป๊อปอาย แต่ปวยเล้งก็มีกรดยูริกมาก คนที่ป่วยเป็นโรคเกาต์หรือไขข้ออักเสบจึงไม่ควรรับประทาน ปวยเล้งมีคลอโรฟิลล์สูง จึงเหมาะกับผู้ป่วยเป็นโรคโลหิตจาง ผู้ที่มีร่งกายอ่อนเพลีย และมีอาการเครียด ควรรับประทานสด ๆ จะดีกว่า โดยการนำไปสลัด ปวยเล้งมีเบตาแคโรทีนสูง บำรุงสายตาและผิวพรรณ แถมยังต้านมะเร็งได้อีกด้วย

ผักกาดขาว
ผักกาดขาวเป็นผักสามัญที่เห็นกันดาษอื่นทั่วไป แต่มีคุณค่าทางอาหารมากมายชนิดต้องแปลกใจ ผักกาดขาวอุดมไปด้วย “โฟเลต” ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก ถ้าแม่ได้รับโฟเลตน้อยเกินไป การสร้างระบบประสาทและ DNA ของทารกอาจผิดปรกติได้ นอกจากนี้โฟเลตยังช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงเข็งแรงอีกด้วย ผักกาดขาวมีสรรพคุณหลายด้านทั้งช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้พิษสุรา ซ้ำเส้นใยอาหารที่มีอยู่มากในผักกาดขาวยังช่วยให้ผู้ที่ท้องผูกบ่อย ๆ ผ่อนหนักเป็นเบาได้

ผักกาดหอม
ผักกาดหอมเป็นผักที่นิยมรับประทานสด ๆ นำมาทำเป็นผักสลัดหรือรับประทานแนมกับอาหารอื่น ๆ เพื่อตัดความเลี่ยนและเพิ่มรสชาติของอาหารจานนั้น ๆ การรับประทานสด ทำให้ได้รับวิตามินซีที่มีอยู่ในผักกาดหอมสูงได้อย่างดี ผักกาดหอมมีสารเบตาแคโรทีนสูง เป็นสาร Antioxidant ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระในร่างกายของคนเรา ทำให้ต้านมะเร็งได้หลายชนิด การแพทย์แผนจีนแนะนำให้คุณแม่รับประทานผักกาดหอมมาก ๆ เพื่อเพิ่มน้ำนม

ผักโขม
ผักโขมมักถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผักของป๊อบอาย จริง ๆ แล้ว นั่นคือ ผักปวยเล้งต่างหาก ใบผักโขมเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นเยี่ยม เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ช่วยให้สายตาดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และโปรตีน ผักโขมมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยจับสารไนโตรต์ที่เป็นสารก่อมะเร็ง ซึ่งมักปนเปื้อนมาในผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น ไส้กรอก ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร
คนเฒ่าคนแก่มักแนะนำให้แม่ลูกอ่อนรับประทานผักโขม เพื่อเพิ่มน้ำนมเพราะผักโขมมีธาตุเหล็กสุง

ผักชี
ผักที่โดดเด่นทั้งรูปร่าง กลิ่น และคุณค่าต่อร่างกาย ส่วนของผักชีที่เรามักนำมาใช้ประโยชน์ก็คือ เมล็ด และต้น ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะมีกลิ่นเฉพาะตัว เมล็ดผักชีใช้รักษาอาการปวดท้องและช่วยย่อยอาหาร ส่วนใบที่เรานำมาทำเป็นผักแนมรับประทานกับอาหารอื่น หรือแต่งหน้าอาหารนั้นก็มีสรรพคุณช่วยย่อยเช่นกัน และยังมีเบตาแคโรทีนอีกด้วย แม้จะไม่มากเท่าผักอื่นก็ตาม นอกจากนี้ผักชียังมีฤทธิ์เผ็ดร้อนช่วยขับลม บำรุงธาตุแก้คลื่นไส้ได้

ผักชีฝรั่ง
ผักชีฝรั่งมีดีในเรื่องกลิ่นไม่แพ้ผักชีไทย หรือผักชีลาว มักใช้ในอาหารรสจัด พวกต้มยำ ลาบ ก้อย เนื่องจากกลิ่นของผักชีฝรั่งกลบกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ได้อย่างดี ผักชีฝรั่งมีวิตามินซีสูง มีเบตาแคโรทีนสูง นำไปใช้สร้างวิตามินเอ บำรุงสายตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย มีวิตามินบี 1 และบี 2 และไนอาซิน ให้ระบบการทำงานในร่างกายสมดุล

ผักบุ้ง
ผักบุ้งผักพื้นบ้านไทย ๆ ที่รู้จักดีนี้อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งช่วยบำรุงสายดา ทำให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงเป็นประกาย ไม่แสบหรือแห้ง และยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งด้วย นอกจากวิตามินเอแล้ว ผักบุ้งยังมากล้นไปด้วยวิตามินซี โดยเฉพาะถ้ากินสด ๆ ธาตุเหล็กในผักบุ้งช่วยบำรุงเลือด ส่วนแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่มีอยู่ก็ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน หากจะพูดถึงสรรพคุณทางยา ผักบุ้งมีสารบางชนิดที่สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน ผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็น จึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ ผักบุ้งจีนจะมีแคลเซียมและเบตาแคโรทีนมากกว่าผักบุ้งชนิดอื่น

พริก
พริกทุกชนิดจะมีสารแคปไซซิน มีสรรพคุณช่วยระบบทางเดินหายใจ ความดันดลหิตและหัวใจ ช่วยขับเหงื่อ มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ ถ้ารับประทานพริกมาก ๆ หรือรับประทานเผ็ดเป็นประจำ ระบบการย่อยและดูดซึมอาหารจะทำงานได้ไม่ดี แต่ถ้ารับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ จะทำให้เลือดไม่จับตัวเป็นก้อน เลือดไหลเวียนได้ดี

พริกไทย
พริกไทยเป็นเครื่องเทศที่ได้ชื่อว่า เป็นราชาแห่งเครื่องเทศ พริกไทยนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งผลอ่อน และผลสุก พริกไทยอ่อนมีน้ำมันหอมระเหย นิยมปรุงในผัดเผ็ดเพื่อดับกลิ่นคาว ช่วยย่อยอาหาร แก้ปวดหัว ปวดตามข้อ และแก้ท้องเสียได้ นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมสูงและเบตาแคโรทีน ผลสุกนำมาทำเป็นเมล็ดพริกไทยทั้งสองชนิดคือ พริกไทยดำและพริกไทยขาว แตกต่างกันตรงวิธีการผลิต พริกไทยดำจะมีรสเผ็ดและกลิ่นหอมกว่าพริกไทยขาว พริกไทยช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับ ขับเสมหะ ไอ สะอึกได้ ช่วยกระตุ้นการไหลของน้ำลายและน้ำย่อย ขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวสม่ำเสมอ สารฟีนอลิกส์ในพริกไทยมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant สามารถต้านมะเร็งได้

พริกหวาน
พริกหวานอุดมไปด้วยวิตามินซี พริกหวานสีเหลืองมีวิตามินมากกว่าสีส้มถึง 4 เท่า พริกหวานสีเขียว 100 กรัม มีวิตามินซีถึง 100 มิลลิกรัม เช่นกัน ควรรับประทานพริกหวานสด ๆ เช่น ใส่ในสลัด เพื่อรักษาความวิตามินซีให้มากที่สุด พริกหวานยังมีเบตาแคโรทีน เหล็ก และโพแทสเซียมอีกด้วย คนที่ป่วยเป็นโรคไขข้อ ไม่ควรรับประทาน

ฟักทอง
ฟักทองอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน มีวิตามินเอซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง รักษาความผิดปกติของหัวใจและโรคทางเดินหายใจ ฟักทองสามารถกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิต แถมยังช่วยบำรุงสายดาด้วย จากการวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานฟักทองเป็นประจำมีอัตราการเป็นมะเร็งในปอดต่ำ

มะเขือเทศ
มะเขือเทศเป็นผักสีแดงสวย เนื้อฉ่ำ รสชาติอร่อย เพราะมีกรดอะมิโนที่ชื่อกลูตามิกสูง กรดอะมิโนชนิดนี้เป็นตัวช่วยเพิ่มรสชาติให้อาหาร เป็นกรดอะมิโนตัวเดียวกับที่มีในผงชูรส มะเขือเทศมีสารไลโคปีน จัดเป็นแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง เป็นสาร Antioxidant สามารถลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมากได้ จากงานวิจัยพบว่าการรับประทานมะเขือเทศ 10 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งที่ต่อมลูกหมากในเพศชายได้มากกว่าร้อยละ 45 มะเขือเทศมีเบตาแคโรทีนสูงเช่นกัน มีฟอสฟอรัส วิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นเดียวกับผักชนิดอื่น ๆ

มะเขือพวง
มะเขือพวงที่สวยด้วยรูปทรง และช่อพวงนี้มากด้วยคุณประโยชน์นานาประการ ตั้งแต่ธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด และแคลเซียมที่บำรุงกระดูก และยังช่วยลดความดันโลหิตได้ด้วย ข้อสำคัญก็คือเส้นใยอาหารในมะเขือพวงมีมากมาย นั่นคือเหตุผลว่า เพราะเหตุใดเวลาคนโบราณทำแกงเผ็ดหรือแกงอื่นใดที่ใส่กะทิ จึงมักใส่มะเขือพวงลงไปด้วย เพราะเส้นใยอาหารในมะเขือพวงจะช่วยดูดซับไขมันจากมะพร้าวนั่นเอง

มะเขือยาว
มะเขืออีกชนิดหนึ่งที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ มะเขือยาวลูกยาวมนสมชื่อ สรรพคุณก็มากมาย เนื่องจากใช้เป็นยาได้ทุกส่วน ตั้งแต่ราก ใบ จนถึงผล รากและลำต้นใช้แก้บิดเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด เท้าเปื่อยบวมอักเสบ ปวดฟัน และใช้รักษาแผลที่เกิดจากการถูกความเย็นจัด ใบแก้ปัสสาวะขัด หนองใน ถ่ายเป็นเลือด ตกเลือดในลำไส้ แผลบวมอักเสบมีหนอง ดอกใช้แก้แผลมีหนอง และปวดฟัน กระทั่งขั้วก็ยังใช้เป็นยาแก้ฝี แผลอักเสบ มีหนอง แผลในช่องปาก และปวดฟัน สรรพคุณมากมายขนาดนี้น่าที่จะหามาปลูกไว้ดูเล่นที่บ้านสักต้นสองต้น

มะนาว
มะนาวช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน เพราะมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงสองเท่า และมีวิตามินบีด้วย สมัยโบราณใช้มะนาวรักษาโรคทางเดินหายใจ โดยคั้นน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นเติมน้ำผึ้ง เป็นสูตรดั้งเดิมในการรักษาโรคหวัด บรรเทาอาการเจ็บคอ น้ำมะนาวเป็นน้ำผลไม้ที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีที่สุด รองลงมาคือน้ำส้มและน้ำฝรั่ง น้ำมันจากเปลือกมะนาวก็มีประโยชน์มาก สามารถทำลายแบคทีเรียได้ มะนาวเป็นผลไม้ที่มีกรดสูง จึงห้ามมิให้ผู้ป่วยโรคไขข้อรับประทาน

มะระ
มะระที่เรานิยมนำมารับประทานมี 2 ชนิด ที่รู้จักกันดีคือ มะระจีนและมะระขี้นก ทั้ง 2 ชนิดมีความขมเหมือนกัน เนื่องจากมีสารอัลคาลอยด์ที่ชื่อ โมโมดิซิน ที่ช่วยให้เจริญอาหาร และเป็นยาระบายอ่อน ๆ ด้วย แต่สารโมโมดิซินนี้สลายไปได้ด้วยความร้อน ดังนั้นการต้มมะระนาน ๆ จะทำให้ลดความขมลงได้ มะระมีวิตามินซีและเบตาแคโรทีนเช่นเดียวกับผักอื่น ๆ น้ำคั้นจากผลมะระใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ เพราะกระตุ้นการหลั่งของสารอินซูลิน แต่สตรีมีครรภ์ไม่ควรรับประทานเพราะทำให้เกิดอาการแท้งลูกได้ มะระขี้นกนิยมนำผลอ่อนมาต้มหรือลวกให้สุก รับประทานกับน้ำพริก ช่วยให้เจริญอาหารและลดน้ำตาลในเลือด มีงานวิจัยพบว่าในผลแก่และเมล็ดมีสาร MAP30 ที่มีคุณสมบัติยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส HIV ในหลอดทดลองได้ แต่เราไม่ควรกินผลสุกของทั้งมะระจีนและมะระขี้นก เพราะมีสารซาโปนิน ทำให้คลื่นไส้อาเจียนได้

มะละกอ
มะละกอเป็นผักที่อยู่คู่ครัวไทยมานาน อาหารขึ้นชื่อลือชาของไทยเราที่ใช้มะละกอเป็นส่วนผสมหลัก ก็คือ ส้มตำ มะละกอดิบให้วิตามินซีสูง นำไปประกอบอาหารได้หลายอย่าง ทั้งแกงส้ม แกงเหลือง หรือต้มยำมะละกอสุกนิยมรับประทานเป็นผลไม้ล้างปากหลังอาหาร มีทั้งวิตามินซีและเบตาแคโรทีน เบตาแคโรทีนเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายกา ผิวพรรณและเป็นสารต้านมะเร็งที่สำคัญ

หัวมันเทศ
หัวมันเทศชนิดสีเหลืองเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดี ช่วยบำรุงสายดา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย มีสารต้านมะเร็งที่มีสรรพคุณสูงมาก นอกจากนี้ยังมีวิตามินบี 2 สูง มีโฟเลตสูงรองจากผักใบเขียว มันเทศยังมีแคลเซียมสูง ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง หญิงวัยหมดประจำเดือนเป็นกลุ่มที่ต้องการแคลเซียมสูงกว่าปกติ เพราะมักมีปัญหาเรื่องกระดูกพรุน ที่ทำให้กระดูกเปราะและหักง่าย จึงควรรับประทานมันเทศเป็นประจำ

มันฝรั่ง
มันฝรั่งอุดมด้วยกากใย วิตามินซี วิตามินบีรวม และเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย มันฝรั่งอบหรือต้มมีโพแทสเซียม เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก มันฝรั่งต้มหรืออบ 100 กรัม ให้พลังงานต่ำกว่า 100 แคลอรีเสียอีก มันฝรั่งอบหรือต้มและแครอตรับประทานกับคอตเตจชีสชนิดพร่อยมันเนย จัดเป็นอาหารสุขภาพที่มีแคลอรีต่ำ น้ำมันฝรั่งคั้นสด ๆ ช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็ก ๆ วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 1 เดือน รสชาติของน้ำมันฝรั่งแสนจะไม่อร่อย แต่เราก็ทำให้รสชาติดีขึ้นได้ด้วยการเติมน้ำผึ้ง แครอต และน้ำมะนาวลงไป

มิโสะ
มิโสะคือถั่วเหลืองหมักแล้วนำมาปั่นให้ละเอียด ใช้ปรุงอาหารและใส่ในน้ำซุป มิโสะมีโปรตีน วิตามินบี 12 และสารอาหารอื่น ๆ อีกหลายชนิด มีเลซิทิน และกรดไลโนเลอิกอยู่มาก สารทั้งสองชนิดนี้ จะละลายและขับโคเลสเตอรอลและไขมันที่สะสมออกจากร่างกาย คุณประโยชน์ของมิโสะอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ช่วยขับปรับสภาวะเลือดที่เป็นกรดให้เป็นด่าง นอกจากนี้ ในมิโสะยังมีเอนไซม์ที่ช่วยใสการย่อยอาหารอีกด้วย

เมล็ดฟักทอง
เมล็ดฟักทองอุดมไปด้วยสังกะสี เหล็ก และแคลเซียม เป้นของขบเคี้ยวที่ให้โปรตีนและวิตามินบีรวม ช่วยบรรเทาอาหารผิดปกติของต่อมลูกหมาก และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะ ให้อยู่ในระดับปกติ เมล็ดฟักทองมีฟอสฟอรัสสูง ช่วยป้องกันและลดการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ยังมีสารที่ออกฤทธิ์ขับพยาธิตัวตืดได้ จึงนำมาใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ

เมล็ดทานตะวัน
เมล็ดทานตะวันอุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบีรวมและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมล็ดทานตะวันยังมีไขมันไม่อิ่มตัวสูง เมล็ดทานตะวันช่วยขจัดความอ่อนเพลีย ความเคร่งเครียดเหนื่อยล้าออกไปได้

ยอ
ยอเป็นผักพื้นบ้านนิยมนำใบมาปรุงอาหาร เช่น ห่อหมก ใบยอ แกงอ่อม เป็นต้น ใบยออุดมด้วยแคลเซียม ในใบยอ 100 กรัม มีแคลเซียมสูงถึง 469 มิลลิกรัม ในคนปกติต้องการแคลเซียมวันละ 800 มิลลิกรัม แค่รับประทานใบยอ 100 กรัมก็ได้แคลเซียมเกินครึ่งของที่ร่างกายต้องการแล้ว ใบยอมีเบตาแคโรทีนสูง และยังมีวิตามินบี 1 และ บี 2 ด้วย ลูกยอดิบนำมาทำเป็นส้มตำลูกยอได้ เป็นอาหารโบราณ ลูกยอดิบมีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้ แก้คลื่นไส้อาเจียน ชัดประจำเดือน แต่สตรีมีครรภ์อ่อน ๆ ต้องระวังเพราะอาจทำให้แท้งได้

โยเกิร์ต
ความเจ็บป่วยของคนสาเหตุหนึ่งมาจากลำไส้ นั่นเป็นเพราะว่า แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกับแบคทีเรียที่เป็นโทษไม่สมดุลกัน การย่อยอาหารที่ไม่ดี มีแก๊สในกระเพาะอาหาร การดูดซึมอาหารไม่ดี ล้วนเป็นบ่อเกิดของโรคภัยทั้งสิ้น โยเกิร์ตมีแลคโตบาซิลัส อาซิโดฟิลัส แบคทีเรียซึ่งช่วยให้การทำงานของลำไส้เป็นปกติ และช่วยป้องกันอาการท้องเสียได้ นอกจากนี้ โยเกิร์ตยังมีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิค้มกันในร่างกายให้สูงขึ้นด้วย โยเกิร์ตสามารถใช้ทดแทนนม สำหรับผู้ที่ดื่มนมไม่ได้

ลูกเดือย
กล่าวกันว่า “ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่ดีที่สุดในโลก อุดมไปด้วยโปรตีน ย่อยง่าย ไม่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร”ลูกเดือยมีซิลิกอนสูง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอลลาเจน ช่วยบำรุงผม ผิว ฟัน ตา และเล็บให้สวยงามแข็งแรงลูกเดือยเป็นธัญพืชชนิดเดียวที่มีโปรตีน ซึ่งประกอบไปด้วยกรดอะมิโนสำคัญครบ 8 ชนิด และเป็นธัญพืชชนิดเดียวที่มีความเป็นด่าง

ลูกพรุน
ลูกพรุนคือลูกพลัมที่นำมาตากแห้ง ลูกพรุนถือว่าเป็นอาหารบำรุงสุขภาพที่ดีชนิดหนึ่ง เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก อุดมด้วยกากใยอาหาร มีแมกนีเซียม เหล็ก โพแทสเซียม และวิตามินบี ลูกพรุนมีสาร Dihydroxyphenylisatin ซึ่งมีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอ่อน ๆ ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำจึงนิยมรับประทานลูกพรุนเพื่อช่วยระบายท้อง นอกจากนี้ลูกพรุนยังเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยสาร Antioxidant ที่ป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระมาทำร้ายเซลล์ของเราอีกด้วย ลูกพรุนมีไขมันต่ำ ให้แคลอรีน้อย สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอ้วน ในบ้านเราลูกพรุนหาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกพรุนที่นำมาจากอเมริกาแทบทั้งสิ้น

สตรอเบอร์รี
สตรอเบอร์รีเป็นผลไม้เมืองหนาว แต่ในปัจจุบันเมืองไทยก็ปลูกได้ แม้จะลูกไม่โตและหวานเท่าสตรอเบอร์รีต่างประเทศก็ตาม สตรอเบอร์รีเป็นผลไม้ที่เหมาะกับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเกาต์และไขข้ออักเสบ นั่นเป็นเพราะว่า สตรอเบอร์รีมีคุณสมบัติในการชำระล้างระบบต่าง ๆ ในร่างกายนั่นเอง นอกจากนี้ สตรอเบอร์รียังเหมาะกับคนที่เป็นความดันโลหิตสูง การแพทย์แผนโบราณของยุโรป แนะนำให้ผู้ป่วยเป็นนิ่วในไตรับประทานสตรอเบอร์รี สตรอเบอร์รีมีเหล็กสูง จึงเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจากและร่างกายอ่อนเพลีย ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังก็ควรรับประทานสตรอเบอร์รี สตรอเบอร์รีมีวิตามินซีสูง มีสรรพคุณสามารถยับยั้งสารก่อมะเร็งกลุ่มไนโตรซามีนได้ และช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ระดับหนึ่ง หากจะรับประทานสตรอเบอร์รีเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ควรรับประทานสตรอเบอร์รีเพียงอย่างเดียวหรือก่อนอาหาร

ส้ม
ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน และยังช่วยสร้างคอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบของเนื้อเยื่อ จึงช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น นอกจากนี้ส้มยังมีคุณประโยชน์อื่น ๆ ต่อร่างกาย เช่น จากการวิจัยของประเทศสวีเดน พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารเช้าและดื่มน้ำส้มด้วย จะสามารถดูดซึมเหล็กได้ดีขึ้นสองเท่าครึ่ง ส้มยังมีวิตามินเอด้วย นอกจากนี้ยังมีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งมีอยู่ในผัก ผลไม้หลายชนิด และเป็นที่รู้จักกันในชื่อวิตามินพี หรือซี 2 ซึ่งช่วยให้วิตามินซีทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรง

สับปะรด
สับปะรดสดมีเอนไซม์ชื่อว่าโบรมีลีน ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีความสามารถในการย่อยโปรตีนได้ในเวลาอันรวดเร็ว ช่วยลดภาระน้ำย่อยในร่างกาย ทำให้ย่อยเนื้อสัตว์ได้เร็วขึ้น ไม่ค้างอยู่ในลำไส้นานเกินไป น้ำสับปะรดสดยังช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอโดยใช้กลั้วคอ และเป็นส่วนผสมของตำรับยาพื้นบ้าน รักษาโรคคอตีบ สับปะรดยังสามารถต่อต้านแบคทีเรียและบรรเทาอาการอักเสบได้อีกด้วย

สะเดา
เมื่อเอ่ยถึงสะเดา หลายคนนึกถึงอาหารจานเด็ดอีกหนึ่งตำรับ นั่นก็คือ สะเดาน้ำปลาหวาน และปลาดุกย่าง สะเดามีสรรพคุณเป็นอาหารยาอย่างเยี่ยมยอด เพราะพบว่าสารที่อยู่ในใบและยอดสะเดา ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเนื้องอกและมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการเต้นของหัวใจให้ถูกจังหวะด้วย สะเดามีดีอยู่ที่ยอดเพราะในใบอ่อนของสะเดา จะมีเบตาแคโรทีนมากกว่าในใบตำลึงเสียอีก จากการวิจัยพบว่าสารสกัดจากใบสะเดาจะช่วยลดอาการเครียดลงได้ เมื่อรู้ว่าสะเดามีดีขนาดนี้ ใครที่ยังไม่เคยรับประทานก็น่าจะลองสักนิด

สะระแหน่
ผักที่ใบหยิกสวยเสริมเสน่ห์ให้สวนครัวนี้มีสารอาหารสำคัญอยู่มาก เช่น เบตาแคโรทีน ที่เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ที่จะทำให้เกิดมะเร็ง สะระแหน่ช่วยขับลม ทำให้สบายท้อง เวลารับประทานอาหารมาก ๆ ท้องจะได้ไม่อืด เนื่องจากสะระแหน่มีกลิ่นหอมเย็นของเมนทอล จึงช่วยให้คนที่รับประทานสะระแหน่รู้สึกสดชื่น ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัวได้ดี ระบบทางเดินหายใจโปร่ง ส่วนวิตามินซีในสะระแหน่ก็ช่วยให้เหงือกแข็งแรงและไม่เป็นหวัด

สาหร่ายทะเล
สาหร่ายทะเลมีทั้งสีเขียว น้ำตาล และแดง มีหลายชนิด เช่น สาหร่ายผมนาง โนริ คอมบุ ซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามินเอ วิตามินบี และวิตามินซีมากทีเดียว สาหร่ายทะเลยังมีความสามารถในการจับตัวกับโมเลกุล ที่เป็นพิษและมีน้ำหนักมาก ซึ่งตกอยู่ในลำไส้แล้วเปลี่ยนให้เป็นเกลือที่ไม่ละลาย และในที่สุดก็จะถูกขับออกจากร่างกาย สาหร่ายทะเลอุดมด้วยแร่ธาตุพวกแคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และกรดโฟลิก สาว ๆ และสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือน ควรรับประทานสาหร่ายทะเลเป็นประจำ เพราะช่วยลดความเสียงในการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคกระดูกผุได้

เสารส
เสาวรสหรือกะทกรกฝรั่ง มีชื่อที่รู้จักกันดีคือ Passion Fruit นิยมนำผลมารับประทาน ลูกเสาวรสมีหลายสี ได้แก่ เหลือง ม่วง แดง เนื้อสีเหลืองอมเขียว เต็มไปด้วยเมล็ด น้ำเยอะ ตักรับประทานสด ๆ แต่ที่นิยมกว่าคือ นำมาทำเป็นน้ำผลไม้ดื่ม เสาวรสมีวิตามินเอสูง รับประทานเป็นประจำจะทำให้สุขภาพตาดี สร้างภูมิคุ้มกันโรค และบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการนอนไม่หลับ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้หน่อไม้ฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่งหรือแอสพารากัสเป็นผักยอดนิยมของคนทั่วโลก นอกจากจะอร่อยแล้ว ยังมีสารที่มีประโยชน์คือ กลูตาไทโอน ที่เป็นสารต้านมะเร็งทั้งในชายในหญิง และวิตามินซีที่ช่วยให้สเปิร์มของท่านชายแข็งแรง เวลาปรุงอาหารจากหน่อไม้ฝรั่ง อย่าใช้ความร้อนนาน ไม่เช่นนั้น วิตามินซีจะสลายตัวไปหมด

หอมหัวใหญ่
หอมหัวใหญ่เป็นพืชในวงศ์เดียวกับกระเทียม มีคุณสมบัติช่วยลดโคเลสเตอรอล และลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยเพิ่ม DHL Cholesterol High Lipoprotein cholesterol ซึ่งเป็นตัวไขมันที่ดี ลองรับประทานหอมหัวใหญ่สด ๆ ครึ่งหัวทุกวันอย่างน้อยสองเดือนก็จะเห็นผล หอมหัวใหญ่ช่วยบำบัดโรคได้หลายโรค เช่น โรคโลหิตจาก หลอดลมอักเสบ หืด ไขข้ออักเสบ และชราก่อนวัยอันควร

หัวผักกาด
หัวผักกาดหรือแรดิช ทั้งหัวผักกาดขาวและหัวผักกาดแดง เป็นอาหารต้านมะเร็งอีกชนิดหนึ่ง เหมาะกับผู้ป่วยโรคตับและถุงน้ำดี น้ำหัวผักกาดมีประโยชน์ต่อถุงน้ำดี หัวผักกาดมีสารอาหารที่มีคุณค่าหลายอย่าง เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม และกำมะถัน รวมทั้งวิตามินเอ และวิตามินบีรวมด้วย หัวผักกาดมีวิตามินซีสูงมากกว่าผักชนิดอื่น ๆ อีกหลายชนิด แต่ต้องกินสด ๆ เพราะวิตามินซีสลายตัวง่ายเมื่อปรุงด้วยความร้อน วิตามินซีที่ได้ป้องกันมะเร็ง ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคสูง

เห็ด
เห็ดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง มีแคลอรีน้อย ไขมันต่ำ ไม่มีโคเลสเตอรอล โซเดียมต่ำ แต่แร่ธาตุสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโพแทสเซียมที่ช่วยลดความดันโลหิต และซีลีเนียมที่เป็นสารต้านมะเร็ง เห็ดมีวิตามินมาก โดยเฉพาะวิตามินบี เห็ดหอมมีวิตามินดีสูงมาก ช่วยในการดูดซึมเกลือแร่ เสริมสร้างกระดูกและฟัน นอกจากนี้เห็ดยังให้โปรตีนพืชที่คุณภาพดีเพราะมีกรดอะมิโนต่าง ๆ ที่ร่างการต้องการ กินเห็ดนอกจากไม่อ้วนแล้วยังทำให้เจริญอาหารอีกด้วย บ้านเรามีเห็ดมากมากหลายชนิด นับเป็นสวรรค์ของผู้รักเห็ด

โหระพา
โหระพาเป็นผักที่นิยมใช้การประกอบอาหารเพื่อแต่งกลิ่นรสเมนูยอดฮิต ได้แก่ แกงเขียวหวาน หอยแมลงภู่นึ่งกับใบโหระพา ผัดมะเขือยาว ห่อหมก เป็นต้น โหระพานอกจากนะมีดีที่กลิ่นแล้ว ยังมีเบตาแคโรทีนสูงมาก โหระพา 100 กรัม มีเบตาแคโรทีนถึง 452.16 ไมโครกรัมเทียบหน่วยเรตินัล โหระพาจึงช่วยป้องกันโรคมะเร็งและโรคหัวใจขาดเลือดได้ ใบโหระพามีน้ำมันหอมระเหยอยู่เป็นถุงเล็ก ๆ ในใบ มีคุณสมบัติช่วยแก้จุกเสียด ท้องอืด แน่นท้อง ช่วยให้เจริญอาหารได้

อบเชย
อบเชยปรุงอาหารได้หลายชนิด และเป็นยาปฏิชีวนะที่ได้ผลดี เป็นยาบำรุงกำลัง และช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี ทำให้หายอ่อนเพลีย ป้องกันไข้หวัดและการติดเชื้อไวรัสต่าง ๆ ได้

องุ่น
องุ่นเป็นผลไม้ที่ให้พลังงาน ช่วยชะล้างทำความสะอาดอวัยวะภายใน เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ โรคโลหิตจาก ร่างกายอ่อนเพลีย โรคไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ การอดอาหารเพื่อล้างพิษด้วยการรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียว จะช่วยบำบัดโรคผิวหนัง โรคทางเดินปัสสาวะ โรคไขข้ออักเสบ และโรคเกาต์ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักจะใช้วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ โดยรับประทานองุ่นเพียงอย่างเดียวทุก ๆ 10 วันก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน ควรล้างองุ่นให้สะอาดเพราะมีสารตกค้างจากยาฆ่าแมลงอยู่มาก

อโวคาโด
ผลอโวคาโดอุดมไปด้วยไขมัน และมีแคลอรีสูง แต่ก็เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากชนิดหนึ่ง เพราะมีโพแทสเซียมสูง หากร่างกายขาดโพแทสเซียมจะทำให้อ่อนเพลีย มีอาการหดหู่ และระบบทางเดินอาหารบกพร่อง อโวคาโดยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบีรวม วิตามินซีเล็กน้อย และวิตามินอี อโวคาโดเหมาะกับผู้ป่วยที่เพิ่งฟื้นไข้ สตรีที่รับประทานอโวคาโดจะช่วยให้ผิวพรรณสวย เพราะอโวคาโดจะช่วยลดอนุมูลอิสระ ไขมันจากอโวคาโดย่อยง่าย จากการวิจัยยังพบว่าเนื้อผลอโวคาโดมีสารต่อต้านแบคทีเรียอีกด้วย

อัลมอนด์
อัลมอนด์อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน และเกลือแร่ อย่างเช่น สังกะสี แมกนีเซียม โพแทสเซียม และเหล็ก รวมทั้งวิตามินบีบางชนิด หากรับประทานอัลมอนด์กับอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วยให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดียิ่งขึ้น อัลมอนด์มีโปรตีนสูงถึง 20% เทียบกับน้ำหนักทีเท่ากันแล้วมีโปรตีนสูงกว่าไข่ถึงสามเท่า น้ำอัลมอนด์ย่อยง่าย จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคระบบทางเดินอาหาร เราสามารถทำน้ำอัลมอนด์ได้เอง โดยนำอัลมอนด์ 50 กรัม แช่ในน้ำอุ่น 2 ออนซ์ จากนั้นลอกเปลือกออก และนำไปบดหรือปั่นด้วยเครื่องให้ละเอียด เติมน้ำ 1 ลิตร นำไปต้ม เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง แค่นี้ก็จะได้น้ำอัลมอนด์แสนอร่อยที่ช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรง

แอพริคอต
แอพริคอตอุดมไปด้วยเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารที่มีอยู่ในผักผลไม้สีเหลืองส้ม สียิ่งจัดเท่าไร ก็ยิ่งมีเบตาแคโรทีนมาก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อ เช่น ผู้ป่วยระบบทางเดินปัสสาวะ หรือผู้ป่วยโรคมะเร็ง แอพริคอตแห้งมีเหล็กมาก ก่อนจะรับประทานควรนำไปล้างด้วยน้ำอุ่น เพื่อล้างเอาซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกเสียก่อน

แอปเปิล
ชาวตะวันตกตระหนักในคุณค่าทางอาหารของแอปเปิลเป็นอย่างมาก ถึงกับมีคำกล่าวว่า “หากคุณสามารถปลูกต้นไม้ไว้ในสวนได้เพียง 1 ต้น ก็ควรจะปลูกแอปเปิล”
แอปเปิลมีดีขนาดนั้นเชียวหรือ? แอปเปิลมีประโยชน์ต่อหัวใจ สารเพกตินและวิตามินซีในแอปเปิลจะช่วยให้ระดับโคเลสเตอรอลอยู่ในระดับคงที่ จากการศึกษายังพบว่าสารเพกตินช่วยปกป้องเราจากมลภาวะต่าง ๆ ช่วยขับสารตะกั่วและสารอื่น ๆ ที่ร่างการไม่ต้องการออกไป กรดมาลิกและกรดทาทาริกในแอปเปิลช่วยระบบการหายใจ และยังช่วยขจัดโปรตีนและไขมันส่วนเกินในร่างกาย จึงนำแอปเปิลไปปรุงกับอาหารหลาย ๆ ชนิด เช่น แอปเปิลกับหมู แอปเปิลกับเนยแข็ง แอปเปิลยังมีประโยชน์มากกับผู้ป่วยโรคไขข้อและเกาต์ ผู้ป่วยโรคเหล่านี้ควรรับประทานแอปเปิลสดเพียงอย่างเดียวสัก 1 ถึง 2 วัน เป็นการอดอาหาร (Fast) เพื่อให้ร่างกายขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย จากการวิจัยของฝรั่งเศสพบว่ารับประทานแอปเปิลวันละ 2 ผลจะช่วยลดโคเลสเตอรอลลงได้ 10% ควรรับประทานแอปเปิลทั้งเปลือก เพราะสารเพกตินที่ช่วยลดโคเลสเตอรอลอยู่ที่เปลือก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

 

HealthandBeautyInfocus Copyright © 2009 เฮลธ์แอนด์บิวตี้อินโฟกัส สุขภาพ ความงาม แฟชั่น แพทเทิร์นงานฝีมือ ดูดวง โปรโมทเว็บฟรี Beauty Blogs - BlogCatalog Blog Directory