วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

แหล่งอาหารโปรตีนสูง

แหล่งอาหารโปรตีนสูง

1.ไข่ นับว่าเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพดีเมื่อเปรียบเทียบกับอาหารชนิดอื่น ๆ ในคะแนนเต็ม 100 ไข่มีคะแนนถึง 94 ในไข่หนึ่งฟอง ประกอบขึ้นด้วย ไข่ขาวและไข่แดง ไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง โดยมีไขมันถึง 6 กรัม แต่มีโปรตีนเพียง 1.5 กรัม ส่วนไข่ขาวมีโปรตีนมากกว่าไข่แดงคือมีโปรตีนประมาณ 4.5 กรัม และที่สำคัญคือไม่มีไขมัน

2.นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ชีส เนยแข็ง โยเกิร์ต นมเปรี้ยว เป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย ผู้ที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงจะขาดการ ดื่มนมไม่ได้เลย น้ำนมมีคะแนนโปรตีน 82 นอกจากโปรตีนแล้วเนยแข็งยังมีแคลเซียมและไวตามินเออีกด้วย เนยแข็งที่ทำจากนมเปรี้ยวจะมีไขมันต่ำ ส่วนเนยแข็งชนิดอื่นให้ไขมันสูง

3.ปลาและอาหารทะเล เช่น กุ้ง ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน มีคะแนนโปรตีน 80 ซึ่งต่ำกว่าน้ำนมเพียงเล็กน้อย ถ้าจะว่าไปแล้วเนื้อปลาเป็นสารอาหารที่มีไขมันต่ำยกเว้นปลาดุก และปลาทุกชนิดที่ทำให้สุกโดยการทอด นอกจากเนื้อปลาจะมีสารอาหารโปรตีนแล้ว ในเนื้อปลายังมี สารอาหารชนิดหนึ่งมีชื่อว่า omega - 3 fatty acids ซึ่งมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจได้

4.เนื้อสัตว์ มีคะแนนโปรตีนเป็น 68 เนื้อสัตว์ในที่นี้หมายถึง เนื้อวัว เนื้อหมู และเนื้อสัตว์ปีก นอกจากเนื้อสัตว์จะให้โปรตีนแก่ร่างกายแล้ว เนื้อแดงไม่ติดมันยังประกอบไปด้วยสังกะสี วิตามินบี 12 เหล็ก และธาตุอาหารอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย การบริโภคเนื้อสัตว์ควรทำให้สุกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากอันตรายอันเกิดจากเชื้อโรคบางชนิด

5.ถั่วเหลือง นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนราคาถูก และคุณภาพดี มีคะแนนสารอาหารโปรตีน 61 ถั่วเหลืองนอกจากมีราคาถูกแล้วยังปราศจากผลข้างเคียงที่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกายอีกด้วย อย่างไรก็ตามถั่วเหลืองค่อนข้างย่อยยากสักหน่อย

6.เมล็ดพืช ผลไม้จำพวกเปลือกแข็ง (เช่น เกาลัด มันฮ่อ มะพร้าว) และไม้จำพวกมีฝัก (เช่น กระถิน ถั่วลิสง) อัลมอนด์ มีคะแนนสารอาหารโปรตีนระหว่าง 37-58 เนื่องจากเมล็ดพืชและผลไม้จำพวกเปลือกแข็งมีไขมันมากจึงไม่ควรบริโภคบ่อยนัก ส่วนถั่วถึงจะมีไขมันต่ำแต่ให้แคลอรีสูง

7.ผักที่มีโปรตีนสูง ได้แก่ ผักโขม ชะอม ชะพลู บวบ ฟักทอง แค ถั่วพู ยอดกระถิน ดอกขจร ดอกโสน ถั่วงอกที่เพาะจากถั่วเหลือง และสะตอ

ข้อมูลจาก Internet
เรียบเรียงโดย http://healthandbeautyinfocus.blogspot.com

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

หุ่นดีขึ้นทันที 5 กิโลด้วยวิธีแต่งสุดแซบ



หุ่นดีขึ้นทันที 5 กิโลด้วยวิธีแต่งสุดแซบ


ถึงจะยังลดความอ้วนไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะผอมลงไม่ได้ วิธีแต่งตัวจากสไตลิสต์มือโปรต่อไปนี้ จะช่วยให้สาวๆ ดูผอมอย่างมีรสนิยม ไม่มีคำว่าพลาดค่ะ

1.พรางด้วยคาร์ดิแกน
คาร์ดิแกนก็คือเสื้อคลุมตัวยาวที่ใส่ทับข้างนอก ซึ่งนอกจากจะช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดร้อนหฤโหดของบ้านเราได้แล้ว ยังช่วยให้สาวตุ้ยนุ้ยดูผอมลง ด้วยเทคนิคการใส่คาร์ดิแกนสำหรับคนอ้วนก็คือ ให้สะบัดบ๊อบใส่คาร์ดิแกนที่ยาวประมาณเอวซะ เพราะมันจะเน้นให้คุณดูพองลมยิ่งกว่าเดิม แล้วหันไปใส่คาร์ดิแกนที่ยาวคลุมสะโพก ลำตัวคุณจะได้ดูยาวขึ้น

2.แบ่งเป็นส่วนๆ
การกระหน่ำโปะทุกอย่างที่มีในตู้เสื้อผ้าลงไปบนร่างกาย จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณมีสรีระผอมแห้ง ประหนึ่งที่บ้านไม่มีจะกินแบบพวกนางแบบเขาเท่านั้น สำหรับคนเจ้าเนื้อยิ่งบนตัวมีเฟอร์นิเจอร์เยอะเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ดูอ้วนกลมมากเท่านั้น สไตลิสต์นิวยอร์คเขาเลยแนะนำว่า วิธีแต่งตัวที่ปลอดภัยที่สุดคือให้แบ่งตัวเองออกเป็น 3 ส่วน จากศรีษะถึงเอวเป็นส่วนที่หนึ่ง จากเอวถึงสะโพกเป็นส่วนที่สอง และจากต้นขาไปถึงฝ่าเท้าเป็นส่วนที่สาม แล้วแต่งให้ทั้ง 3 ส่วนนี้มีน้ำหนักสมดุลกัน เช่น ถ้าจะใส่กางเกงขาบาน ท่อนบนก็ต้องใส่เสื้อรัดรูป เพื่อให้น้ำหนักของท่อนบนกับท่อนล่างถ่วงดุลกัน

3.หาแจ็คเก็ตพอดีตัว
ถ้าไม่มั่นใจใสความผอมเพรียวของตัวเอง อย่าพยายามอินเทรนด์ด้วยแจ็คเก็ตประเภทใหญ่โคร่งหลวมโพรก ที่พวกสาวเซอร์เขาชอบใส่ เพราะมันจะขยายให้คุณดูตัวโตกว่าเป็นจริง แต่ควรจะหาแจ็คเก็ตพอดีตัวที่เข้ารูปช่วงเอว จะได้หลอกตาประชาชนได้ว่า ชั้นก็มีส่วนเว้าส่วนโค้งกับเขาเหมือนกันย่ะ

4.ใส่กระโปรงทรงตรง
กระโปรงทรงนี้เกิดมาเพื่อคนอ้วนโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นทรงเดียวที่ใส่แล้วสะโพกดูเล็กลง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นกระโปรงทรงสอบ ความแคบของกระโปรงจะยิ่งเน้นให้ก้นของคุณดูมหึมา ส่วนกระโปรงพองๆ พลิ้วๆ ทั้งหลายนั้น สาวตุ้ยนุ้ยจะใส่ก็ไม่ว่า แต่อย่าให้หนุ่มที่คุณกำลังปิ๊งเป็นแข้าก็แล้วกัน ไม่งั้นแห้วกับคุณอาจได้มาพบกันบนคานทองพอดี!

5.จับคู่ให้ลงล็อก
สีที่จะช่วยให้คุณดูผอมลงทันที 5 กิโล ได้แก่ สีดำ และไม่ใช่ดำเฉพาะที่แต่ต้องดำแบบแก๊งมาเฟีย ดำกันตั้งแต่หัวจรดเท้าไปเลย! แต่สำหรับคนไทยเราถ้าดำทะมึนขนาดนี้อาจถูกเข้าใจผิดคิดว่าญาติเสีย สไตลิสต์เขาเลยแนะนำว่าให้เบรกความดำด้วยรองเท้าส้นสูงสีสว่างๆ โดยเฉพาะสีเงินหรือเทาสะท้อนแสง รับรองว่าคูล!

6.ยีนส์กับส้นสูง
นี่คือเหตุผลที่พยกดาราฮอลลีวู้ดเป็นปลื้มกับยีนส์บวกส้นสูงสวยๆ กันนัก เพราะลุคส์นี้ไม่มีคำว่าอ้วน เนื้อผ้าหนาๆ ของยีนส์กับความสูงจากรองเท้าจะทำให้คนใส่ดูเพรียวขึ้นในบัดดล แต่ข้อควรระวังที่สาวตุ้ยนุ้ยต้องจำให้มั่นก็คือ ต้องเลือกใสแต่ยีนส์ทรงตรง ขาตรง อย่าหาเรื่องใส่ตัวด้วยกางเกงขาลีบที่รัดจนไขมันปลิ้น หรือกางเกงขาบานที่จะทำให้ตัวคุณดูกว้างไปกันใหญ่

7.เข็มขัดช่วยได้
ใครว่าคนอ้วนใสเข็มขัดไม่ได้ อันนี้ขอค้านค่ะ เพราะแอ็คเซสเซอรีชิ้นนี้ล่ะจะทำให้คุณดูสลิมยิ่งกว่าที่เคย เข็มขัดที่เหมาะกับคนอ้วนควรจะเป็นพวกไนลอนหรือผ้ายืดที่ไม่รัดพุง และใหญ่ประมาณนิ้วครึ่ง ส่วนเข็มขัดเส้นบางเฉียบเท่าเส้นก๋วยเตี๋ยวนี่ รีบเชิดใส่ไปเลยดีกว่า เพราะถ้าเอามาแปะบนพุง คนดูจะเห็นทันทีว่าลำตัวของคุณมันอ้วนกลมขนาดไหน

8.อย่าเปิดไหล่
ต้นแขนเป็นอวัยวะที่จะสะสมไขมันก่อนใครเพื่อน ความอ้วนของคุณจึงจะกระฉอกออกมาในทันทีที่คุณใส่เสื้อเปลือยไหล่ แขนกุด หรือสายเดี่ยว หรือถ้ารักจะใส่จริงๆ ก็หาผ้าคลุมมาพันไว้สักหน่อย เผื่อจะปิดบังสายตาประชาชนได้บ้าง

9.สีแดงชนะเลิศ
แดงพิฆาตยังเป็นสีที่เวิร์คเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสาวคนไหน แต่คนอ้วนมักจะไม่กล้าใส่สีนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเปรี้ยวเกินเหตุ ใส่แล้วไทยมุงคงจะมอง ทั้งๆ ที่กูรูเขาบอกกันจนปากเปียกปากแฉะมานานแล้วว่าให้ใส่เข้าไปเถอะ เพราะสีแดงจะประกาศให้โลกรู้ว่าคุณเป็นสาวเซ็กซี่ มั่นใจ ไม่แคร์สื่อ พูดง่ายๆ ว่าถึงจะอ้วนก็ภูมิใจในชั้นไขมัน อวบเลือกได้น่ะมีไรมั้ย!

10.ปกกลมๆ ไม่ต้องมา
ปกเสื้อกลมๆ โค้งมนเป็นคู่อาฆาตกับคนอ้วน เพราะมันจะมาเคลียคลออยู่ข้างแก้มป่องๆ กับหน้าอกคัพอีของคุณพอดี ความกลมของปกจะยิ่งเพิ่มขนาดให้หน้าดูกลมเป็นลูกบอลลูนยักษ์สองลูก โอ้! ไม่ไหวจะเคลียร์อ่อนเพลียที่จะเมาท์

11.เข้มที่เสื้อคลุม
แจ็คเก็ตตัวบางๆ เป็นคำตอบที่สาวตุ้ยนุ้ยต้องการ แต่มันก็อาจพาคุณตกม้าตายได้ง่ายๆ อีกเหมือนกัน ถ้าเผลอไปเลือกสีสว่างๆ อย่างสีเหลือง เขียวอ่อน ฟ้าสดใส หรือสีขาวเข้า สีที่คนอ้วนควรมีติดตู้ไว้เสมอต้องเน้นความขรึม อย่างเช่นสีเทา สีดำ สีน้ำเงินหม่น เพื่อบีบไซส์ของคุณให้ดูเล็กลง

12.ชายเสื้อกับกางเกง
เคล็ดลับการแต่งตัวที่คนอ้วนจะพลาดไม่ได้เลยค่ะ ห้ามให้ชายเสื้อกับเอวสัมผัสกัน เพราะชายเสื้อจะดึงดูดสายตาให้ชาวบ้านได้เห็นว่าเอวคุณใหญ่แค่ไหน ชายเสื้อที่ดีที่สุดควรจะเลยเอวลงมาสัก 2 นิ้ว เป็นความยาวที่สามารถปิดเอวได้ และไม่ไปเพิ่มขนาดให้สะโพกด้วย

13.เสื้อปกกว้าง
ปกเสื้อใครว่าไม่สำคัญ อย่าลืมว่าปมด้วยอีกอย่างหนึ่งของคนตุ้ยนุ้ยอยู่ที่คอ ซึ่งนอกจากจะต้นคอสั้นเต่อแล้ว ยังมีไขมันห้อยดุ๊กดิ๊กอยู่ใต้คางอีกต่างหาก ส่วนหน้าอกก็ใหญ่เบิ้มเหมือนปอดบวมระยะสุดท้าย เสื้อที่คุณเลือกมาห่อหุ้มร่างกายจึงควรจะมีปกอันใหญ่ๆ ติดมาด้วย เพื่อให้ความแหลมของปกเสื้อช่วยให้ลำตัวท่อนบนดูเพรียวขึ้น แต่ถ้าหาเสื้อแบบที่ว่านี้ไม่ได้ จะใสแจ็คเก็ตปกใหญ่ๆ ทับเสื้อตัวในไว้ก็ได้อารมณ์เดียวกัน

14.ส้นสูงหัวตัด
เพื่อเห็นแก่มิตรภาพของเรา โปรดอย่าใส่รองเท้าหัวแหลมเป็นอันขาดค่ะพี่น้อง รองเท้าแบบนั้นเขามีไว้ให้คนหุ่นตะเกียบผอมแห้งแรงน้อย ส่วนคนมีอันจะกินอย่างเราต้องรองเท้าหัวตัดถึงจะคู่ควร! เพราะน่องกับข้อเท้าอวบๆ ของคุณจะดูสมดุลได้สัดส่วนขึ้น เมื่อมีความเป็นเหลี่ยมของรองเท้ามาอยู่ใกล้ๆ ส่วนรองเท้าบู๊ทเก๋ชิคทั้งหลาย รอไว้ให้ผอมก่อนค่อยใส่ ใครหยิบมาใส่ตอนนี้กูรูแฟชั่นร้องไห้จริงๆ ด้วย

15.สร้อยคอเส้นยาว
สร้อยคอแบบนี้กำลังอินเทรนด์พอดี แต่จุดประสงค์แท้จริงที่คนอ้วนอย่างเราหยิบมันมาใส่ ก็เพื่อพรางให้ลำตัวท่อนบนดูยาวขึ้น ไม่ตัน ไม่อึดอัดเหมือนเวลาใส่สร้อยสั้นๆ

มีวิธีช่วยเยอะขนาดนี้ สาวหุ่นอวบอย่างเราๆ จะไม่ผอมเพรียวขึ้นก็ให้มันรู้ไป!

อ้างอิงบทความจาก : Spicy
เรียบเรียงโดย : Healthandbeautyinfocus.blogspot.com

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

โรคที่เกิดจากคอมพิวเตอร์

ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนยุคสมัยนี้ ถึงแม้จะให้คุณอนันต์ แต่ว่าคอมพิวเตอร์ก็มีโทษเหมือนกัน ล่าสุด ที่ทำให้ตกใจกันทั่วคือ เมื่อนักวิจัยชาวอังกฤษได้ทำการศึกษาและพบว่า คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์นั้น เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียอันตรายมากกว่าโถสุขภัณฑ์ถึง 5 เท่า!!! และทำให้ผู้ใช้ท้องเสียโดยไม่รู้ตัว ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอีกหลายโรคที่เกิดเพราะคอมพิวเตอร์

* ท้องร่วงเพราะคีย์บอร์ด

โรคที่ตั้งชื่อตามตัวอักษรชุดแรกบนแป้นคีย์บอร์ดว่า Qwerty Tummy อาจระบาดในที่ทำงานได้ หากว่าแป้นคีย์บอร์ดมีแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ และผู้ใช้รับประทานอาหารไปพร้อมกับใช้งานคีย์บอร์ดเครื่องคอมพ์ ด้วยการศึกษาครั้งนี้ แสดงว่าคีย์บอร์ดเป็นแหล่งเพาะแบคทีเรียที่น่ากลัวด้วยคนทำงาน 1 ใน 10 ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ด และ 20% ไม่เคยทำความสะอาดเมาส์ ขณะที่ 50% ไม่เคยทำความสะอาดคีย์บอร์ดภายในเวลาหนึ่งเดือน

นอกจากนี้ ด้วยรูปแบบการทำงานสมัยใหม่ ที่พนักงานต้องย้ายโต๊ะทำงานไปเรื่อยๆ ทำให้พวกเขาไม่มีทางรู้ว่า ใครใช้คีย์บอร์ดที่กำลังใช้อยู่และใช้งานอย่างไรบ้าง ทางแก้ไขคือ ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จึงควรทำทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ควรทำความสะอาดคีย์บอร์ดเป็นประจำ ไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย วิธีการคือ ทำความสะอาดด้วยผ้าเนื้อนุ่มชุบน้ำหมาดๆ ที่สำคัญคือ อย่าลืมถอดปลั๊กคอมพิวเตอร์ก่อน

* โรคอื่นๆ อีกมากมาย

คอมพิวเตอร์จะไม่เป็นอันตราย หากว่าคุณไม่ใช้มันจนติดเป็นนิสัย ซึ่งหมายความว่า นั่งจมจ่อมอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เกือบจะตลอดวันและทุกวัน คนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ้างเป็นบางครั้งคราวย่อมไม่ได้เจ็บป่วยเพราะ คอมพิวเตอร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละคนก็จะได้รับผลกระทบจากเครื่องใช้ไฮเทคนี้มาก-น้อย ช้า-เร็วไม่เหมือนกัน หลายๆ อาการเจ็บป่วยจากคอมพิวเตอร์นั้น อาจจะเป็นสิ่งที่เรารู้กันดี แต่บางครั้งก็หลงลืม ลองมาทบทวนกันดูหน่อยดีไหม

ปวดตา : เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ทำให้ตาต้องจ้องจอสว่างๆ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพสายตา จึงควรระวังแสงที่จะส่องตรงมา โดยเฉพาะแสงจากด้านหลังของจอคอมพิวเตอร์ ควรให้แสงเข้ามาด้านข้าง (ด้านขวาก็จะดี) ถ้าเป็นไปได้ให้ติดแผ่นป้องกันรังสี รวมทั้งปรับความสว่างของจอให้เหมาะสมกับดวงตา การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ไม่เพียงทำให้เกิดอาการปวดตาเท่านั้น แต่อาจเป็นสาเหตุของโรคต้อหินในอนาคตด้วย โดยเฉพาะในหมู่ผู้ที่สายตาสั้น นอกจากนี้ จอคอมพิวเตอร์ที่สั่นไหว หรือเป็นคลื่นนั้นควรจะยกไปซ่อมซะ ควรละสายตาจากจอบ้างเป็นครั้งเป็นคราว กะพริบตาเป็นระยะ เพราะดวงตาของคุณต้องการความชุ่มชื้น

โรคเส้นประสาทบริเวณข้อมือถูกกดทับ : ปรับระดับความสูงของเก้าอี้หรือโต๊ะที่วางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ข้อศอกอยู่ในมุม 90-100 องศา วางคีย์บอร์ดให้เหมาะ เวลาใช้คีย์บอร์ดจะได้ไม่ต้องงอมือให้อยู่ในท่าที่ไม่สะดวกสบาย ควรวางข้อมือบนโต๊ะหน้าคีย์บอร์ดถ้าหากจำเป็น ควรพิมพ์คีย์บอร์ดและใช้เมาส์อย่างเบามือ ถ้ามีเวลาก็ออกกำลังกายข้อมือและนิ้วบ้าง หากสามารถทำงานด้วยวิธีการอื่นโดยไม่ใช้คอมพิวเตอร์ ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะและทำซะ

ปวดคอและหลัง : สำรวจท่านั่งเวลาทำงานของตัวเอง ควรนั่งตัวตรง ห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 18-24 นิ้ว เก้าอี้ที่ดีควรจะมีล้อ สามารถปรับพนักพิงได้ และต้องมีที่วางแขน โต๊ะควรจะมีพื้นที่ว่างสำหรับวางเครื่องมืออื่นๆ ในการทำงาน
และสุดท้ายที่อยากตระหนักกันให้มากคือ อันตรายคลื่นลูกใหม่ที่มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และหลอดภาพของจอคอมพิวเตอร์ เมื่อเราเปิดเครื่องใช้ก็จะมีรังสีแผ่ออกมา จึงไม่ควรนั่งใกล้จอเกินไป โดยเฉพาะเวลาใช้แล็ปท็อปซึ่งทำให้เราต้องนั่งใกล้เครื่องมากกว่าพีซี ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แผ่นป้องกันรังสี หรือเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่ไม่แผ่พลังรังสีไฟฟ้าออกมา แม้ราคาจะแพงกว่า แต่ปลอดภัยกว่า หากไม่ใช้เครื่องก็ควรปิด โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องนอน

รู้แล้วก็ลงมือทำซะวันนี้ ถึงแม้ว่าคอมพิวเตอร์จะไม่ฆ่าเราทันทีทันใด แต่คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า ถ้าเราไม่เสี่ยงกับการเกิดโรคภัยเหล่านี้ เพื่อนๆที่ใช้คอมพิวเตอร์ทุกวัน ต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาด พักสายตา ยืดเส้นยืดสาย ขยับร่างกายกันบ้างนะครับ ไม่งั้นโรคถามหาแน่นอน

ที่มา : thisismedical.com

อาหารอะไร ทำให้ปวดหัว



อาการปวดหัวของบางคนจะกำเริบทันทีถ้าทานอาหารที่มีสารไทรามีน (Tyramines) และ นิไทรต์ (Nitrite) เข้าไป


เพราะร่างกายของคนๆ นั้นมีความไวต่อสาร 2 ตัวนี้ พอได้รับปุ๊บก็จะทำให้ระบบประสาทและหลอดเลือดหดตัวทันที อาหารที่มีสาร 2 ชนิดนี้อยู่มากก็คือ

1. ช็อกโกแลต โดยเฉพาะคนที่เป็นไมเกรน ทานเมื่อไรเป็นได้เรื่องทุกที ยกเว้นช็อกโกแลตขาวซึ่งมีนมเป็นส่วนประกอบหลักมากกว่า

2. กุนเชียงและเนื้อแดดเดียว เพราะสีแดงของอาหาร 2 ชนิดนี้ มาจากการเติมดินประสิวลงไป โดยไม่รู้ว่าดินประสิวนี่ละมีสาร Nitrite ระดับตัวแม่เลย

3. ลูกชิ้นเด้ง ไม่ ใช่ทุกร้าน แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ที่คนทำลูกชิ้นจะใส่สารบอแร็กซ์ลงไปด้วย เพื่อช่วยให้ลูกชิ้นเด้งดึ๋งได้ดีขึ้น ทั้งๆ ที่บอแร็กซ์เป็นสารก่อมะเร็ง กระทรวงสาธารณสุขก็เตือนอยู่โครมๆ ว่าไม่ให้ใส่

4. สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ผลการวิจัยว่าคนที่เป็นไมเกรนจะปวดหัวเมื่อกินสารชนิดนี้

5. ไวน์แดง ในไวน์ก็มีไทรามีน กับนิไทรต์ ไม่น้อยนหน้าใครเหมือนกัน ฉะนั้นไม่ดื่มได้ล่ะดี

นอกจากนี้สำหรับคนที่ปวดหัวเพราะไมเกรน ยังต้องเลี่ยงอาหารต่อไปนี้ด้วย

- ช็อกโกแลต เนย ถั่ว เนยถั่ว ฮอทดอก
- เนื้อย่าง เนื้อที่ใส่เครื่องเทศมากๆ อาหารมันๆ ซีอิ๊ว ผงชูรส เนื้อวัว
- น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ส้ม กล้วย ลูกพรุน สับปะรด
- ยาแก้โรคความดัน ยารักษากระเพาะ Cimetidine ยาคุมกำเนิด

ที่มา : thisismedical.com

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับผิวขาวอมชมพูจากโยเกิร์ต

สาวๆ ยุคใหม่ที่กำลังมองหาวิธีดูแลผิวพรรณให้เรียบ เนียน สวยอยู่ตลอดเวลา วันนี้มีวิธีจะมาบอกเคล็ดลับเพื่อผิวขาวสุขภาพดีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากกับเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง"

ผิวขาวสุขภาพดี ได้ก็เพราะบำรุงผิวพรรณ โยเกิร์ตใครๆ ก็รู้ว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่า แถมยังเป็นอาหารผิวที่ดีได้อีกด้วย ส่วนน้ำผึ้งนอกจากเป็นยาอายุวัฒนะแล้ว ก็ยังมีคุณค่าในด้านความสวยความงามด้วย

สำหรับส่วนผสมของเคล็ดลับ "โยเกิร์ตสครับสูตรน้ำผึ้ง"

เริ่มจากน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะ จมูกข้าวสาลี 2 ช้อนโต๊ะ และโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่ไม่มีผลไม้ 1 ถ้วยค่ะ นำมาคนให้เข้ากันแล้วนำมาทาให้ทั่วตัว จากนั้นใช้ปลายนิ้วขัดผิวเบาๆ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออกมาหลังล้างออก และยังเพิ่มความชุ่มชื้นและคงความขาวเนียนให้กับผิวได้อีกด้วย

อย่าลืม บำรุงด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของโยเกิร์ตเป็นประจำ ให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย เพื่อคุณจะได้เป็นเจ้าของผิวที่ขาว อมชมพูอย่างมีสุขภาพดีตลอดไป

ที่มา : นิวสวีทดอทคอม

เคล็ดลับผิวสวยด้วย..ผลไม้


ไม่ต้องเปลืองตังค์ ไปซื้อเครื่องสำอางค์ราคาแพง ๆ คุณผู้ชายก็ใช้ได้นะคะ เป็นสูตรง่าย ๆ แค่นำน้ำผลไม้ใกล้ ๆ ตัว มาปั่น บด ผสมผสานกัน ก็กลายเป็นเครื่องประทินผิวสวยได้แล้ว รับรองได้ว่าเป็นอันตรายแน่นอน


สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำครีมน้ำผึ้งมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดวนไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ครีมน้ำผึ้งมะนาวสูตรนี้ จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น


สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิล
ใช้แอปเปิล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำครีมแอปเปิลมาทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย


สูตรกระชับรูขุมขน
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น


สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำครีมโยเกิร์ตมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย


สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำครีมกล้วยมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง


สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม


เคล็ดลับที่ควรคำนึงถึง
ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรือขยับใบหน้า


ที่มา : เคล็ดลับ 108

10 เคล็ดลับ..สูตรสวยจากธรรมชาติ



สาวๆ หลายคนยอมเสียเงินไปกับเครื่องสำอางราคาแพงมากมายเพื่อให้สวยทันใจ แต่ใครจะการันตีได้ว่าในระยะยาว ผิวหน้าจะไม่เกิดอาการแพ้ขึ้นมา หรือถึงจะไม่แพ้ก็คงต้องเสียเงินไปจนนับไม่ถ้วน กว่าจะได้ผิวสวยใสมาครองครอง จะดีกว่าไหมถ้าลองหันกลับมาใช้ของธรรมชาติใกล้ตัวที่ทั้งสด ใหม่ หาง่าย ได้ผลดี ราคาไม่แพง และโอกาสแพ้เกือบเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ดังเช่น 10 เคล็ดลับต่อไปนี้

1. สตรอเบอร์รี่เพื่อผิวสะอาดหมดจด
ประโยชน์ : สตรอเบอร์รี่อุดมด้วยวิตามินและกรดเอเอชเอธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยปรับสภาพผิวและลดการอุดตันของรูขุมขนได้ดี
วิธีใช้ : ผสมสตรอเบอร์รี่ 2-3 ผลกับน้ำมะนาว นำมานวดให้ทั่วใบหน้า แล้วจึงล้างออก

2. ส้มเพื่อกระชับรูขุมขน
ประโยชน์ : วิตามินและกรดธรรมชาติในส้มจะช่วยสมานและกระชับผิว
วิธีใช้ : ผสมน้ำส้มสด 2-3 หยดกับน้ำแร่ จากนั้นนำสำลีมาชุบแล้วเช็ดให้ทั่วใบหน้าเหมือนโทนเนอร์ทั่วไป

3. ผักกาดแก้วเพื่อผิวกระจ่างใส
ประโยชน์ : ผักกาดแก้วช่วยลดการอักเสบของผิวและช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น
วิธีใช้ : นำผักกาดแก้ว (4 ใบ) มาต้มประมาณ 10 นาที ทิ้งให้เย็นแล้วกรองเอาแต่น้ำ จากนั้นนำสำลีมาชุบน้ำที่กรองไว้ เช็ดให้ทั่วใบหน้าเหมือนโทนเนอร์ทั่วไป

4. แอปริคอตเพื่อแก้มใสเปล่งปลั่ง
ประโยชน์ : แอปริคอตอุดมด้วยวิตามินเอจึงช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง
วิธีใช้ : นำแอปริคอตสุกมาบดให้เป็นเนื้อเดียวกันแล้วทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก ใช้เหมือนเจลหรือครีมมาส์กหน้าทั่วไป

5. มะนาวเพื่อปรับสภาพผิวหน้าอก
ประโยชน์ : กรดเอเอชเอจากธรรมชาติและสารฟลาโวนอยด์ในมะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าออกและกระชับผิวให้ตึงขึ้น
วิธีใช้ : นวดหน้าอกด้วยน้ำมะนาวทุกเย็น

6. แครอตเพื่อยืดอายุผิวสีแทน
ประโยชน์ : แครอตมีสารเบต้าแคโรทีนและแอนตี้ออกซิแดนท์สูง จึงช่วยรักษาสภาพผิว และสีผิวอย่างผิวสีแทนหลังอาบแดดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีใช้ : ละลายวาสลีน 10 กรัม ในน้ำมันจมูกข้าวสาลี (wheat germ) ที่ตั้งไฟจนร้าน จากนั้นเติมน้ำแครอต (4 หัว) ลงไป คนให้เข้ากันแล้วรินใส่ภาชนะเก็บไว้ นำมาทาผิวกายและผิวหน้าให้ทั่ววันละ 1 ครั้งเหมือนครีมบำรุงผิวทั่วไป

7. เกลือเพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ
ประโยชน์ : เกลือมีสารไอโอดีน ทองแดง และสังกะสี ซึ่งสามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้าให้กลับมากระชับ และแข็งแรงเหมือนเดิม
วิธีใช้ : ละลายเกลือทะเล 1 กำมือลงในอ่างอาบน้ำแล้วลงไปแช่ทั้งตัว หรือจะแช่เฉพาะมือและเท้าก็ได้

8. น้ำผึ้งเพื่อลดรอยคล้ำรอบดวงตา
ประโยชน์ : น้ำผึ้งมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียและบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม
วิธีใช้ : ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนกาแฟ กับน้ำแร่งอุ่นๆ ครึ่งแก้ว จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วนำมาวางบนผิวบริเวณรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที

9. มันฝรั่งเพื่อลดถุงใต้ตา
ประโยชน์ : สตาร์ช (Starch) หรือสารสีขาวจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่พบได้ในข้าว ข้าวโพด หรือมันฝรั่ง จะช่วยลดการอักเสบของผิวได้
วิธีใช้ : หั่นมันฝรั่งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วพอกไว้หนาๆ บริเวณใต้ดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น

10. กล้วยเพื่อผมนุ่มสลวย
ประโยชน์ : กล้วยอุดมไปด้วยกลูไซด์ซึ่งช่วยบำรุงผิวรวมทั้งเส้นผมด้วย
วิธีใช้ : ผสมกล้วยสุกกับน้ำมันอัลมอนด์ 2-3 หยด นำมาชโลมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วจึงล้างออก

ผิวแตกลายงาหน้าหนาว..ทำไงดี?


ผิวแห้ง ผิวแตก หน้าหนาว
ย่างเข้าหน้าหนาวทีไร เห็นหลายคน โดยเฉพาะสาว ๆ บ่นเรื่องผิวแตกลายงา บริเวณแขนและขาซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน แถมบางคนใบหน้าเป็นขุย ปากแห้งแตกจนเลือดไหลซิบ จนถูกล้อด้วย “สักวาหน้าหนาว สาวขาแตก...” เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขา ตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ฤดูหนาวความชื้นในอากาศลดลง อากาศแห้ง ลมแรง แดดจัด คนที่มีผิวพรรณแห้งอยู่แล้ว หรือ เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวจะยิ่งแห้งแตกมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในคนที่เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม
ผิวหนังจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ ทำให้น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวระเหยออกมา ผิวหนังกลายเป็นเหมือนแผ่นดินที่แห้งแล้ง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ พอฤดูหนาวมาเยือน ผิวพรรณจะแห้งแตกเหมือนลายงา มองเห็นชัดเจนกว่าฤดู อื่น ๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณหน้าแข้ง ส่วนลักษณะเด่นอื่น ๆ ของคนที่เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรมฤดูหนาวนี้ คนที่มีผิวแห้ง หรือ เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด อาบน้ำพอประมาณ ไม่อาบนานจนเกินไป อย่าอาบน้ำอุ่นจัด ใช้สบู่ถูตัวให้น้อยลง ถ้าผิวแห้งมาก ๆ ไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องทาครีม โลชั่น น้ำมันมะกอก ขี้ผึ้ง วาสลีน แต่หลายคนอาจไม่ชอบเพราะเหนอะหนะโดยเฉพาะในตอนกลางวัน ก็แนะนำให้ทาก่อนนอนแทน ที่บอกว่าไม่ควรอาบน้ำอุ่น หรือ ใช้สบู่ ฟอกตัวจนเป็นฟองมาก ๆ เพราะจะไปชะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวออกไปหมด ยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น พอผิวแห้งมาก ก็จะรู้สึกคัน พอคันก็จะอาบน้ำบ่อย ตอนที่อาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกหายคัน เนื่องจากตอนอาบน้ำจะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง แต่ผิวหนังไม่สามารถจะเก็บน้ำได้ สักพักจะระเหยไป

หลายคนเชื่อว่า การดื่มน้ำมาก ๆ จะยิ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก ?
รศ.พญ. พรทิพย์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง ดื่มน้ำมากก็ยิ่งปัสสาวะออกมาก ขอเรียนว่า ผิวหนังที่แห้ง ไม่ได้แห้งเพราะขาดน้ำ แต่เป็นเพราะหนังชั้นขี้ไคลเสื่อม ไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ ทำให้แผ่นผิวหนังขี้ไคลที่ควรจะเรียบ แห้งแตก ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำในปริมาณมากเพียงใด ก็ไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้

ส่วนปัญหาริมฝีปากแตก
นั้น รศ.พญ. พรทิพย์ อธิบายว่า อาจมีสาเหตุมาจากผิวแห้ง เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรมอยู่แล้ว ซึ่งการเลียริมฝีปาก บ่อย ๆ จะทำให้ปากแห้งแตกได้ สาเหตุของปากแตกอีกอย่างหนึ่ง คือ เกิดจากการระคายเคืองสารเคมี ที่มีอยู่ในยาสีฟัน หรือ น้ำยาบ้วนปาก ถ้าใช้ยาสีฟันมากไปก็ทำให้ริมฝีปากแห้งได้ กรณีที่ปากแตกจากผิวแห้งก็อาจใช้ขี้ผึ้ง หรือวาสลีนทา แต่ถ้ามีสาเหตุจากสารเคมีก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง เช่น ใช้ยาสีฟันในปริมาณที่ เหมาะสม ไม่แปรงฟันนานจนเกินไป
คือ มีเส้นลายมือที่ชัดเจน มีส้นเท้าแตก มีตุ่มเหมือนขนคุดขึ้นบริเวณต้นแขน ขณะที่บางคนอาจเป็นโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ถั่วเขียว..ขจัดรอยด่างดำ

ไม่ว่าจะเป็นรอยด่างดำจากการบีบสิว หรือจากการต้องออกแดดบ่อยๆ รวมไปถึงรอยแผลที่เกิดจากผื่นคันตามร่างกาย เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัยสำหรับผิวเนียนใสของสาวๆ อย่างแน่นอน แต่จะมีวิธีไหนล่ะ ที่จะทำให้รอยด่างดำเหล่านี้หายไป โดยไม่เกิดผลข้างเคียง และที่สำคัญ คือ ประหยัด คำตอบของคำถามนี้ก็คือ ถั่วเขียว เพราะนอกจากถั่วเขียวจะเป็นอาหารที่ทานแล้ว สามารถเยียวยาสารพัดอาการได้แล้ว ยังนำมาทาเป็นยาบำรุงผิวเพื่อลบรอยด่างดำให้จางหายไปได้อีกด้วย วิธีการก็ง่ายๆ เลยดังนี้

1. เตรียมส่วนผสมให้ครบครัน ได้แก่ ถั่วเขียว 3 ช้อนโต๊ะ มันฝรั่ง 1 หัว น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา

2. นำ ถั่วเขียวและมันฝรั่งมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปต้มจนสุก แต่ไม่ต้องถึงกับเปื่อย จากนั้นนำถั่วเขียวและเนื้อมันฝรั่งที่ได้มาบดรวมกัน โดยไม่ต้องให้ละเอียดนัก เติมน้ำมันมะกอกลงไป ผสมจนเข้ากันดี

3. นำส่วนผสมที่ได้มาขัดผิวกายโดยเฉพาะบริเวณที่มีจุดด่างดำ โดยใช้เวลาขัดประมาณ 5 นาที ส่วนผสมที่มีเนื้อและเปลือกถั่วเขียวที่บดหยาบๆ ผสมกับเส้นใยของมันฝรั่งบด จะช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิม
4. เมื่อขัดเสร็จแล้วก็ให้ไปอาบน้ำ หรือล้างออกด้วยสบู่ และควรทำเช่นนี้ทุกสัปดาห์ รอยด่างดำจะค่อยๆ เลือนหายไป


ที่มา : First Magazine

สูตร (ไม่) ลับ กระชับรูขุมขน



ใครๆ ก็อยากมีผิวเรียบเนียน แล้วคุณล่ะคะ ถ้าใช่ สูตรนี้ช่วยคุณได้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีรอยดำจากสิวและผู้ที่มีรูขุมขนกว้าง เพราะสูตรนี้จะช่วยสมานรูขุมขนให้กระชับ ทำให้ผิวหน้าเรียบเนียนค่ะ

สิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่
แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง แต่เราใช้เฉพาะไข่ขาวนะคะ และน้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนชา

วิธีทำก็ไม่ยุ่งยากค่ะ
แค่ใส่แตงกวาลงไปในเครื่องปั่น หรือจะใช้ช้อนค่อยๆ ขูดเนื้อออกมาก็ได้ ใส่ไข่ขาวและมะนาวลงไป คนให้เข้ากันจนเป็นเนื้อครีม แล้วตักใส่ถ้วยพักไว้ก่อนค่ะ จากนั้นก็มาเตรียมหน้าของคุณให้พร้อม ล้างหน้าให้สะอาด ซับหน้าให้แห้ง แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วหน้าค่ะ เว้นบริเวณตาและปากไว้ พอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ระหว่างนั้นก็นอนพักนิ่งๆ นะคะ ไม่ควรพูดคุยหรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ต้องเคลื่อนไหวใบหน้า และถ้าจะหั่นแตงกวาเป็นแว่นๆ มาปิดตาด้วยก็ไม่มีปัญหาค่ะ หลังจาก 30 นาทีก็ล้างหน้าอีกครั้งด้วยน้ำอุ่นแล้วซับให้แห้ง ทำสัปดาห์ละครั้งค่ะ

เพียงเท่านี้ รูขุมขนจะค่อยๆ กระชับขึ้น แล้วผิวเรียบเนียนที่คุณต้องการก็จะมาในไม่ช้านี่แหละค่ะ

ที่มา : women.sanook.com
 

HealthandBeautyInfocus Copyright © 2009 เฮลธ์แอนด์บิวตี้อินโฟกัส สุขภาพ ความงาม แฟชั่น แพทเทิร์นงานฝีมือ ดูดวง โปรโมทเว็บฟรี Beauty Blogs - BlogCatalog Blog Directory